“เจตภูต” เป็นคำที่ใช้กันมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยโบราณ โดยปรากฏให้เห็นกันในหลายประเทศทั้งจีน และอินเดีย โดยคนส่วนใหญ่ให้นิยามว่าที่จริงแล้วเจตภูตในทางพุทธศาสนาก็คือ “กายทิพย์” “ขวัญ” หรือ “ธาตุทั้ง 4” ที่ประกอบกันกลายเป็นจิตวิญญาณในกาย (ละเอียด) ของมนุษย์ โดยเหล่าธาตุทั้ง 4 อันได้แก่ ปฐวี อาโป เตโช และวาโย (ดิน น้ำ ลม ไฟ) มีหน้าตาเหมือนกับเจ้าของร่างทุกอย่าง สำหรับการปรากฏตัวจะมาให้เห็นในลักษณะของหมอก หรือไอน้ำ
พจนานุกรมไทย ได้ให้ความหมายของคำว่าเจตภูตคือ วิญญาณที่สิงในตัวคน เชื่อกันว่าจะออกจากร่างเร่ร่อนไปยังสถานที่ต่างๆเมื่อคนกำลังหลับ สภาพที่เป็นผู้คิดอ่านคือมนัส เรียกในภาษาสันสกฤตว่า อาตมัน เรียกในภาษามคธว่า อัตตา หรือ ชีโว มีอยู่ในลัทธิว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรสูญ แม้คนและสัตว์ตายแล้ว ร่างกายเท่านั้นที่ทรุดโทรม ส่วนเจตภูต เป็นธรรมชาติไม่สูญย่อมถือปฎิสินธิให้กำเนิดสืบไป
ดังนั้น คำว่าเจตภูต จึงนิยมใช้กันในความหมายถึงวิญญาณทั้งของ “คนตาย” และ “คนที่ยังมีชีวิต” ที่มีอยู่ในทุกหนแห่ง แต่เนื่องจากส่วนผสมของกายละเอียดมากกว่ากายธรรมดา จนทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จนกว่าจะมีบางเหตุการณ์หรืออะไรบางอย่างจนทำให้คนสามารถมองเห็นเจตภูตได้ จนทำให้อนุมานได้ว่าเจตภูต เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความเชื่อในเรื่องของ “ผี” ขึ้น เนื่องจากมนุษย์ไม่สามารถทำความเข้าใจได้ว่าเจตภูตคืออะไร และเกิดขึ้นจากสาเหตุใด!?
ประเภทของเจตภูต
เจตภูต มักปรากฏตัวให้คนที่รู้จักเจ้าของร่างให้เห็น เมื่อเกิดเหตุการณ์ผิดปกติขึ้น เช่น เกิดอุบัติเหตุ หรือวิกฤตในชีวิต เป็นต้น บางครั้งคนที่ได้พบเห็นเจตภูตอาจสามารถทำการสื่อสารระหว่างกันได้เหมือนกับคนปกติกำลังคุยกัน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วการพบเห็นเจตภูตจะเป็นไปในลักษณะของการมองเห็นเพียงชั่วพริบตาเดียว บางครั้งอาจเห็นเหมือนคนกำลังเดินอยู่แล้วหายไปเมื่อละสายตาเพียงชั่วครู่ สำหรับประเภทของเจตภูต สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ดังต่อไปนี้
เจตภูตคนเป็น
เจตภูต สามารถออกจากกายละเอียดล่องลอยออกไปตามสถานที่ต่างๆพร้อมกับประสบทั้งเรื่องดีและร้าย บางครั้งเรียกว่า “ความฝัน” ได้เหมือนกับการไปท่องเที่ยว และเมื่อกลับมาเข้าร่างแล้วตื่นขึ้นก็จะสามารถจดจำในสิ่งที่ได้เห็นผ่านเจตภูตในขณะที่ออกจากร่างได้เหมือนกับได้ออกไปด้วยตัวเอง ในบางครั้งหากประสบกับเหตุการณ์ใดรุนแรง หรือถูกปลุกอย่างกะทันหันเจตภูตก็จะกลับคืนเข้าร่างได้เช่นกัน
เจตภูตคนตาย
เมื่อร่างกายเกิดการทรุดโทรมแตกดับไม่ว่าจะสิ้นอายุขัยตามธรรมชาติ หรือประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต เจตภูตจะยังคงอยู่ชั่วคราว และบางครั้งก็จะแสดงตัวตนปรากฏให้มนุษย์มองเห็น จนหลายคนที่ได้เห็นเจตภูตแล้วไม่สามารถอธิบายได้ทึกทักเอาว่าได้มองเห็นผีนั่นเอง ซึ่งการปรากฏตัวของเจตภูตมักเกิดขึ้นมาจากความต้องการอันแรงกล้าที่จะได้พบหรืออยู่ด้วยก่อนที่จะเสียชีวิต
เจตภูต อันตรายหรือเปล่า!?
คนในสมัยโบราณเชื่อว่า เมื่อมนุษย์เกิดมาจะมี “วิญญาณประจำตัว” ติดตัวมาด้วยตั้งแต่เกิด และเมื่อสิ้นอายุขัย ร่างกายแตกดับ วิญญาณเหล่านั้นก็จะออกแสวงหาร่างใหม่ หรือดับสูญไป แต่ถ้าหากเจตภูตมีจิตผูกพันอยู่กับบางสิ่งอย่างรุนแรง ก็มีโอกาสที่เจตภูตจะยังคงสิงสู่อยู่กับสิ่งนั้น หรือสถานที่แห่งนั้นต่อไป
ผู้มีอาคมแก่กล้าหลายคนสามารถใช้วิชาเรียก หรือบังคับเจตภูตไปใช้งาน ทำให้เจ้าของร่างที่เจตภูตสิงสู่อยู่เกิดอาการอ่อนเพลีย อันมาจากการที่เจตภูตออกจากร่าง แต่การเรียกเจตภูตออกจากร่างจะทำได้เพียงครั้งละ 1-2 ตน (ธาตุ) เท่านั้น เพราะถ้าหากออกไปจนหมดเจ้าของร่างก็จะเสียชีวิต หรือสติฟั่นเฟือน เลอะเลือนไม่สมประกอบ
นอกจากนี้ หมอคุณไสย์มนต์ดำหลายคนจะใช้การบังคับเจตภูตให้ออกจากร่างแล้วใช้วิชาผูกเอาไว้ ทำให้ทั้งร่างกายและจิตใจอ่อนแอลงจนกระทั่งสามารถทำของใส่เป้าหมายได้อย่างสะดวกมากขึ้น นิยมใช้กับการทำมนต์เสน่ห์ด้วยการทำให้เจตภูตเกิดความหลงใหลต้องมนต์ ทำให้เจ้าของร่างเกิดความลุ่มหลงร้อนรนอยากที่จะไปหาคนทำตามไปด้วยนั่นเอง ในบางครั้งการทำคุณไสย์ประเภทนี้จะใช้ “วิญญาณร้าย” เข้าไปบังคับจิตใจของผู้ที่ถูกเรียกเจตภูตออกมาให้ได้ผลอย่างรวดเร็วมากขึ้น พร้อมกับเข้าแฝงในร่างกาย ใช้ชีวิตร่วมทานอาหาร ร่วมหลับนอน ไปจนถึงดื่มกินเลือดเนื้อของคนที่ถูกเล่นของใส่อีกด้วย พร้อมกับแสดงอาการผิดปกติอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เช่น อ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายดาย ไร้เรี่ยวแรง เหม่อลอย ความคิดอ่านไม่สมบูรณ์ หงุดหงิดง่ายขึ้น ทำให้มักเกิดปากเสียงทะเลาะวิวาทกับคนอื่นบ่อย มีความอยากอาหารมากขึ้นราวกับกินไม่เคยอิ่ม และหากร้ายแรงจะมีการแสดงออกถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมือนเดิม
การป้องกันเจตภูตไม่ให้ออกจากร่าง และป้องกันการถูกบังคับจากมนต์ดำ
การป้องกันตัวเองไม่ให้เจตภูตออกจากร่างหรือถูกบังคับโดยไม่เต็มใจจากคนไม่หวังดี สามารถทำได้ด้วยการหมั่นฝึกฝนจิต ให้บังเกิดสมาธิ ตั้งมั่นสติให้ดี เพราะถ้าหากมีจิตที่แข็งแรงอยู่ตลอดเวลา ก็จะทำให้ผู้ที่ไม่หวังดีสามารถทำการบังคับเรียกเจตภูตให้ออกจากร่างได้อีกด้วย
ในสมัยโบราณ มีการส่งต่อวิชาการเรียกเจตภูตทั้ง 4 ให้เข้ามาสถิตอยู่ภายในร่างกาย แล้วสะกดอาไว้ไม่ให้ออกไปไหน เพื่อเป็นการเสริมสร้างพละกำลังให้กับตัวเอง เพิ่มอำนาจพลังจิต โดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องรางของขลัง นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยป้องกันคนที่ไม่หวังดีทำการเรียกเจตภูตออกจากร่างกายได้อย่างง่ายดาย ตัวอย่างของวิชาที่ได้ยกมาอาทิเช่น วิชามหาภูตทั้ง 4 ของสายหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ที่ทำการเรียกเจตภูต ทั้ง 4 ให้เข้ามาอยู่ในร่าง และสามารถใช้ทำงานแมนตัวเองได้ เป็นต้น
การเรียกเจตภูตกลับคืนเข้าร่าง ด้วยพิธี “สู่ขวัญ”
ชาวอีสานเชื่อว่า หาก “ขวัญ” หรือเจตภูตออกจากร่างกายก็จะทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย หรือก่อให้เกิดอุบัติเหตุโชคร้าย หรือถูกวิญญาณร้ายตามรังควานได้อย่างง่ายดาย ทำให้มักมีการทำ “พิธีบายศรีสู่ขวัญ” ที่ทำกันในแทบทุกโอกาสไม่ว่าคนที่ได้รับการทำพิธีจะมีประสบโชคดีหรือไม่ดีก็ตาม โดยเป็นการเรียกชขวัญให้กลับมาอยู่กับตัว เพราะเชื่อว่าขวัญเป็นตัวตนที่คล้ายกับ “จิตวิญญาณแฝง” และ “จิต” อยู่ในตัวของมนุษย์ตั้งแต่เกิด ถ้าหากขวัญหนีหายเตลิดไปเพราะตกใจกับบางสิ่ง คนผู้นั้นก็จะอ่อนเพลีย ประสบกับโชคร้าย จนเป็นที่มาของการทำพิธีสู่ขวัญ หรือนัยหนึ่งคือการเรียกเชิญ “เจตภูต” ให้กลับคืนมาสู่ร่างกายนั่นเอง...
การเรียกเจตภูตกลับขณะนอนหลับ
หากเป็นเจตภูตคนเป็น สามารถที่จะทำการเรียกกลับเข้าร่างได้ขณะที่นอนหลับด้วยการปลุกเหมือนกับคนที่นอนหลับตามปกติ แต่การปลุกดังกล่าวเป็นการรบกวนการท่องเที่ยวของเจตภูตทำให้ต้องรีบกลับมาเข้าร่าง ทำให้มักเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการใจเต้นแรง หวาดสะดุ้ง และเหนื่อยล้ามากกว่าการตื่นตามธรรมชาตินั่นเอง
โดยสรุป... เจตภูตอาจเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณที่อยู่ร่วมกับมนุษย์มาตั้งแต่เกิด จนร่างกายแตกดับ แต่ยังไม่มีใครยังสามารถสรุปได้ว่าเจตภูตเหล่านั้นจะแตกดับไปกับสังขารที่ร่วงโรย หรือเพียงสลัดราบร่างที่อาสัญแล้วล่องลอยหาร่างใหม่ แล้วเวียนวนใช้เวลาท่องโลกใบนี้ไปชั่วกัปชั่วกัลป์กันแน่....