ตำนานผีโพง
ภาพจาก : sites.google.com/site/kankanit122/taa-nan-phi-taela-phakh
“ผีโพง” ความหมายจากพจนานุกรมแปลไทย-ไทย อ.เปลื้อง ณ นคร คือ ผีจำพวกเดียวกับผีเป้า แต่ชอบกินของเน่าเปื่อย มักปรากฏตัวอยู่ในทางภาคเหนือ และในทางภาคอีสานเองก็ได้มีการกล่าวถึงผีโพงกันอย่างมากมายเช่นกัน เชื่อกันว่าผีโพง เป็นวิญญาณของผีป่า ที่ถูกผู้มีอาคมนำมาเลี้ยงไว้ในกระบอกไม้ขนาดเล็ก และเมื่อถึงคืนแรม 15 ค่ำ ผู้เลี้ยงจะต้องปล่อยให้ผีโพงออกไปหากิน หรือนำเครื่องเซ่นมาให้มิเช่นนั้นผีโพงจะกลายมาเป็นภัยกับตัวเอง
การถือกำเนิดก่อเกิดผีโพง
แต่โดยทั่วไปเชื่อกันว่า ผีโพง เป็นวิญญาณคือเหล่าคนเล่นคุณไสยมนต์ดำแล้วเกิดการควบคุมวิชาของตัวเองไม่ได้จากการผิดข้อกำหนดของวิชา (ในภาษาอีสานเรียกว่า ผิดข้อคะลำ) จนกระทั่งของย้อนกลับมาเข้าตัวเอง หรือจากการปลูกว่านลึกลับชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า “ว่านผีโพรง” ลักษณะเป็นสีขาว รสร้อนฉุน เมื่อปลูกจนกระทั่งแก่หง่อมได้ที่จะมีปรอทลงกินจนกระทั่งเรืองแสงขึ้นเหมือนกับ “แมงคาเรือง” (ตะเข็บสายพันธุ์หนึ่งที่ตัวเรืองแสงเมื่ออยู่ในที่มืด ขนาดเล็กเท่าก้านไม้ขีด ยาวประมาณ 3.5-4.5 ซ.ม.) หรือเห็ดเรืองแสง ในสมัยก่อนผู้ที่เล่นคาถาอาคมจะปลูกว่านผีโพงเอาไว้ข้างรั้ว เพราะนอกจากจะนำมาเข้าพิธีเพื่อเปลี่ยนให้เป็นมวลสารกายสิทธิ์ ว่านผีโพงยังถูกนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรอีกด้วย ดังนั้น รูปแบบที่ทำให้เกิดผีโพงขึ้น จึงคล้ายคลึงกับ “ผีปอบ” เป็นอย่างมาก นอกจากในเรื่องของการเล่นคุณไสยแล้ว ยังมีอีกความเชื่อหนึ่งว่าผีโพง เกิดขึ้นมาจากเวรกรรมหนักของคนที่กลายมาเป็นผีโพงได้ทำเอาไว้เมื่อชาติที่แล้ว จนต้องมาตระเวนหากบ หาเขียดกิน เพื่อประทังชีวิต
ว่านผีโพง : ภาพจาก http://bit.ly/2vDgxB8
ลักษณะของผีโพง
เปลี่ยนให้เป็นมวลสารกายสิทะาไว้ข้างรั้ว เพราะนอกจากจะนำมาเข้ากนี้ ยังมี "ะสือ โดยผีโพงนั้นจะเป็นเพศชาย ส่วนผีกระสือนั้นจ
เมื่อผีโพงเข้าสิงสู่ร่าง ก็จะบังคับให้เจ้าของร่างออกหากินในฐานะผีโพงในตอนกลางคืน โดยผีโพงมักปรากฏตัวให้เห็นบ่อยในช่วงฤดูฝน โดยเฉพาะหลังตอนฝนตก ตามทุ่งนาและหนองน้ำ เพราะกบ เขียด มักออกหากินกันเป็นจำนวนมากในช่วงเวลาดังกล่าว ผีโพงจะใช้เวลาออกหากินประมาณครั้ง 1-3 ชั่วโมง โดยเห็นเป็นลูกๆไฟลอยไปลอยมาในคืนที่มืดสลัว หลายครั้งที่มีคนเห็นลูกไฟของผีโพงแล้วชี้ให้เพื่อนที่มาด้วยกันดู คนในกลุ่มส่วนใหญ่ในกลุ่มมักจะมองไม่เห็น ซึ่งกลายมาเป็นเรื่องที่ลี้ลับอย่างมากเลยทีเดียว
ลักษณะของผีโพรง โดยทั่วไปจะดูเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป ถ้าหากสงสัยว่าใครเป็นผีโพง ให้ทำการสังเกตที่ผิวที่เหลืองซีด ปลายจมูกหากมองห่างๆปลายจมูกจะเป็นสีแดงมากกว่าคนทั่วไปเป็นอย่างมาก หากมองใกล้ๆจะมีเส้นเลือดแดงให้เห็นอยู่เป็นจำนวนมาก ถ้าหากผู้ถูกสิงเป็นผู้หญิงปลายผมจะมีแห้งงอมากกว่าปกติ และมีขนตาที่สั้นมากกว่าปกติ แต่เมื่อตกกลางคืนเมื่อไหร่จะกลายร่างกลายเป็นผีโพง โดยมีจุดเด่นให้สังเกตเห็นแต่ไกลคือ “ดวงไฟที่รูจมูก”
เมื่อกลายร่างผีโพงจะใช้อำนาจสะกดจิตทำให้ทุกคนในบ้านหลับสนิท แล้วเอาผ้าห่มคลุมหมอนข้างเอาไว้เพื่อหลอกตาคนในบ้าน จากนั้นผีโพงจะเอาจมูกไปเสียดสีกับบันไดบ้านให้แดงกลายเป็นลูกไฟสีแดง ม่วง เขียว บ้างว่าแสงที่เกิดขึ้นมาจากว่านผีโพง ที่ผีโพงอมเอาไว้ภายในปาก ก่อนออกไปตระเวนตามหาของดิบ ของสกปรก โดยเฉพาะเมือกกบ เมือกเขียด คาวปลาสด รกเด็กเกิดใหม่ และศพ เป็นต้น ในสมัยโบราณหลายครั้งจึงมักพบผีโพงมาด้อมๆมองๆ ตามใต้ถุนบ้านของผู้หญิงที่กำลังอยู่ไฟ เพื่อมองหารกเด็ก เลือด หรือของสกปรกที่หยดลงมาจากพื้นไม้ ทำให้คนในสมัยนั้นนิยมตัดไม้หนามมาวางรองไว้ด้านล่างเหมือนกับที่ป้องกันผีกระสือนั่นเอง
ด้วยลักษณะพฤติกรรมในการออกหากิน และแสงสว่างตัดความมืดของว่านผีโพรงทำให้หลายครั้งถูกเข้าใจผิดว่าเป็นผีกระสือ แต่จะมีความแตกต่างกันที่สามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนคือ แสงไฟของผีโพงจะสว่างแล้วดับสลับกันไปเรื่อยๆ บางครั้งก็จะมีแสงไฟตกลงจากจมูกเหมือนกับหยดน้ำ ถ้าหากแกะรอยตามแสงไฟของผีโพงไปก็มักที่จะพบกับซากของกบ เขียด ที่นอนตายตัวแข็งไร้เมือก และเลือดมากมายตามรายทาง เพราะผีโพงจะกินเฉพาะเมือกแล้วคายกบ เขียด ทิ้งไปนั่นเอง เมื่อใกล้สว่างผีโพงก็จะกลับไปนอนที่บ้านเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เนื่องจากคนที่ถูกผีโพงเข้าสิงอาจไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกสิงสู่อยู่ หรืออาจรู้ตัวบ้างเล็กน้อยแต่อาจคิดว่าสิ่งที่ตัวเองได้เห็นนั้นเป็นเพียงความฝันเท่านั้น และจะถูกสิงอยู่ตลอดเวลา แต่มักจะมีซากกบ เขียดตายอยู่ตามประตูบ้านเรือน และเสื้อผ้าที่สวมใส่เข้านอนมักจะเต็มไปด้วยดินโคลน
คำสาปแช่ง ของผีโพง
ผีโพง โดยพื้นฐานแล้วจะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับคนที่ถูกสิงทุกประการแถมยังขี้อาย ผีโพงจะพยายามหลบไม่ยอมให้คนอื่นเห็นใบหน้า ไม่ได้มีนิสัยดุร้าย แต่จะทำร้ายมนุษย์ก็ต่อเมื่อจำเป็นจากการถูกคุกคาม ถ้าหากใครบังเอิญไปเจอกับผีโพงเข้าอย่างจัง ผีโพงจะไม่ได้เข้ามาทำร้ายแต่จะวิ่งหนี หรืออ้อนวอนขอให้ไม่บอกคนอื่นว่าตัวเองเป็นผีโพง พร้อมกับบอกว่า “มันเป็นวิบากกรรมของมันเป็นที่ทำให้ต้องมาชดใช้กรรมแบบนี้” พร้อมกับติดสินบนปิดปากคนที่พบด้วยการเสกสิ่งของให้กลายเป็นทองคำ ถ้าไม่รับปาก หรือไม่รับสินจ้าง ผีโพงอาจเข้ามาทำร้าย หรือทำให้อีกฝ่ายกลายมาเป็นผีโพรงเหมือนกันด้วยการถ่มน้ำลายใส่ภาชนะใส่น้ำดื่มของคนนั้น รวมไปถึงการตามไปสาปแช่งครอบครัวของคนนั้น ด้วยการเสก”ก้านกล้วยแม่หม้าย” หรือก้านกล้วยที่ถูกตัดใบออกจนหมดโดยเหลือส่วนปลายไว้เล็กน้อย (คนในสมัยก่อนเชื่อว่าการฟันก้านกล้วยทิ้งหลายท่อนเป็นการป้องกันไม่ให้ผีโพงนำไปใช้) หรือคานคาบของแม่ม่ายพุ่งข้ามหลังคาบ้าน หรือใต้ถุนบ้านของคู่กรณี ส่งผลให้คนที่อาศัยอยู่ภายในบ้านหลังนั้นประสบกับเคราะห์กรรม ภัยพิบัติ และเจ็บป่วย จนหลายครั้งมีคนตายเพราะแรงสาปแช่งของผีโพงยกครอบครัวด้วยอาการซึม เศร้า เหงา ร่างกายซูบผอม อย่างไรก็ตาม ส่วนสินจ้างที่ได้รับจากผีโพงนั้นเมื่อรุ่งเช้าก็จะกลับกลายมาเป็นของไร้ค่าเหมือนเดิม แต่เมื่อรับสิ่งของมาแล้วก็ต้องรับปากไม่บอกตัวตนของผีโพงเช่นกัน เพราะไม่อย่างนั้น ผีโพงจะมีญาณรับรู้ได้ว่าคนที่รับปากนำความลับของมันไปบอกคนอื่น ก็จะตามาแก้แค้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน
แม้ว่าผีโพงจะใช้คานแม่มายในการสาปแช่งคนที่รู้ตัวตนที่แท้จริง คานแม่ม่ายนี้ก็ยังสามารถนำมาใช้เพื่อระบุตัวตนที่แท้จริงของผีโพงได้เช่นกัน ด้วยการนำเอาไม้ค้านแม่ม่ายมาชี้ที่ตัวผีโพงที่เห็น แล้วทำการหักให้เป็นสองท่อนจากนั้นนำไปเผาไฟทิ้งเสีย ในตอนเช้าจะมีคนมาขอยืมไม้คาน ซึ่งคนๆนั้นแท้จริงแล้วคือผีโพงนั่นเอง ถ้าหากใครให้ยืมไม้คานผีโพงก็จะนำไปใช้เพื่อสาปแช่งเจ้าของบ้าน
การป้องกันตัวเองจากแรงอาฆาตของผีโพง
เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงปัญหาที่เกิดขึ้นตามมาเมื่อพบกับผีโพง คนเฒ่าคนแก่จึงได้สอนคนที่ออกไปหาปลาในตอนกลางคืนว่า ถ้าหากไปพบผีโพงเข้าห้ามเข้าไปใกล้อย่างเด็ดขาด แต่ถ้าหากใครบังเอิญเจอผีโพงใกล้ๆแล้วจำได้ว่าเป็นคนรู้จัก ห้ามทักหรือเรียกชื่อร่างสิงสู่ของผีโพง ถ้าเป็นไปได้ให้พยายามเลี่ยงหนีไปอย่างเงียบๆ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าทำร้ายของผีโพงด้วยความอาฆาตโดยไม่ทันรู้ตัว แถมผีโพงบางจนก็ยังพกดาบติดตัวขณะออกหากินเผื่อเอาไว้ใช้ทำร้ายปิดปากคนที่จำหรือจับตัวผีโพงได้อีกด้วย
การกำจัดผีโพง
การกำจัดผีโพรงนั้นสามารถทำได้อย่างง่ายดาย สำหรับคนที่มีคาถาอาคมหากล่วงรู้ว่าใครเป็นผีโพง ก็จะทำการร่ายคาถา แล้วทำการกลับบันไดบ้านของผีโพงเอาไว้ เมื่อผีโพงกลับมาบ้านแล้วพบว่าบ้านเป็นของตัวเอง แต่บันไดไม่ใช่ก็จะเดินวนเวียนอยู่รอบบ้านเพราะไม่สามารถเข้าไปข้างในได้ ทำให้เมื่อคนทั่วไปมาพบแล้วทัก ทายตัวตนในตอนเป็นมนุษย์ของผีโพงถูก จะทำให้ผีโพงเกิดความอับอาบอย่างมาก จนต้องหลบหนีไปอยู่ที่อื่น บางครั้งผีโพงก็จะตายภายใน 1-3 วันหลังจากนั้น ด้วยสภาพของการมีตุ่มน้ำหนองพุพองทั่วร่าง ก่อนที่จะสิ้นใจตายไปด้วยทรมาน แต่ถ้าหากผีโพงรู้ว่าใครเป็นคนที่กลับบันไดแกล้งก็จะอาฆาตแค้นอย่างมาก พร้อมกับรอคอยจังหวะให้คนนั้นอ่อนแอลงเพื่อกลับมาล้างแค้นอีกครั้ง นอกจากนี้ผีโพง ยังสามารถถ่ายทอดต่อกันได้ ด้วยการพ่นน้ำลายใส่หน้า ทานน้ำลายของผีโพรง และยังสืบทอดต่อกันไปจนถึงรุ่นลูกหลานได้อีกด้วย
นอกจากนี้ ผีโพรงที่อยู่มานานก็มักที่จะฉลาดมากขึ้นตามไปด้วย บางครั้งถึงขนาดพกไฟฉายออกมาติดตัวในขณะหากินด้วย เมื่อพบใครเข้าก็แสร้งแก้ตัวว่าออกมาหาปลา หากบ หาเขียด ในตอนกลางคืนเหมือนกับชาวบ้านคนอื่น เพื่อไม่ให้ใครผิดสังเกตว่าเป็นผีโพงนั่นเอง...
ตำนานผีโพรงของชาวล้านนา
ในนิทานของชาวล้านนา ได้มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับผีโพง ที่ผู้เฒ่าผู้แก่ได้นำมาใช้ในการสั่งสอนลูกหลาน ดังต่อไปนี้
"ผีโพงมีแสงออกฮูดังใสโพงโยงหากิ๋นของคาวในยามค่ำคืน"
ระวังเน้อ...ล่ะอ่อนหน้อย ออกไปเที่ยวทุ่งนายามกลางค่ำกลางคืนผีโพงผีสือมันจะยับ(จับ)เอาไปกิ๋นตับ บรรดาผู้เฒ่าทั้งหลาย ต่างสั่งสอนหล่ะอ่อนต่อนแต่นทั้งหลายว่า ผีโพงมันเป็นคนเพศชาย ส่วนผีสือมันเป็นผู้หญิง ผู้ที่เป็นผีโพงหรือผีสือ มันชอบกินของคาว กินของสดๆ เมื่อเวลาพลบค่ำหากมันหิวก็แอบไปที่เสาเรือนปื๊นกะล่าง(ใต้ถุน)ครัวไฟ เอาฮูดัง(จมูก)ถูไถโคนเสาจนปลายฮูดังมันร้อนออกแสงใสโพงโยง หากเป็นผีโพงแสงสีออกเขียวๆ หากเป็นผีสือเพศหญิงแสงออกสีแดงๆเรื่อๆ
เมื่อมีแสงออกปลายฮูดังหรือปลายจมูกมันแล้วก็ออกเดินไปหากิน ส่วนมากจะเป็นทุ่งนาป่าเขาที่มีกบเขียดมากมาย หากพบเหยื่อมันจับขึ้นมายัดเหยื่อเข้าปากดิ้นกระดุบๆ แล้วอมรูดเอาเมือกคาวออกมากลืนเข้าท้องอย่างอร่อยลำแต๊ๆ เสร็จแล้วทิ้งซากสัตว์ไว้ตามพื้นดินแถวๆนั้น รุ่งขึ้นผู้คนมักจะเดินไปพบซากสัตว์ที่แบนตะแล้ดแต้ดนอนตายทั่วไป ผู้ที่พบเห็นก็จะทราบว่าแถวๆนี้มันมีผีโพงออกล่าเหยื่อ ต่างก็โจทย์ขานบอกต่อกันไป
เมื่อเราไปเที่ยวตามทุ่งนายามกลางคืนหากเห็นดวงไฟไกลๆสีเขียวบ้าง สีแดงออกเรื่อๆบ้าง ก็เชื่อแน่ว่านั่นคือผีโพงหรือผีสือแล้วแต่โอกาสโชคอำนวยที่ได้ให้พบ ขออย่างเดียวอย่าตกใจโกยแน้บ จนก้นตั้งป้อด(ล้มก้นกระแทก)ตกคันนาปั้กกะดิ้ก(คะมำ)หัวทิ่มลงขี้เป๊อะ(โคลน)จ๋นแก๊นอึ้กแก๊นอั้ก(สำลัก) ก็แล้วกัน
มีอยู่บ้างที่ผู้คนฉวยโอกาสทั้งๆที่ตนเองไม่ได้เป็นผีโพงผีสือ แต่ด้วยนิสัยที่เป็นหัวขี้ขโมยออกหากินยามพลบค่ำ แอบลักของชาวบ้าน จับสัตว์เลี้ยงชาวบ้านไปกิน หรือไอ้หนุ่มตัวดี แอบนัดสาวลงมาพร่ำรักกันใต้ถุนบ้าน บางครั้งก็เป็นไอ้หนุ่มถ้ำมองมันจะแฝงตัวมาอาละวาดเวลาเดียวกันกับผีโพงผีสือออกล่าเหยื่อ ด้วยที่ฮูดังมันไม่มีแสง แต่มันมีผมสีดำธรรมดาๆ ผู้คนจึงเรียกคนประเภทนีว่า " ผีโพงดำ" ก็เป็นอันเข้าใจกันว่ามันไม่ใช่ผีโพงหรือผีสือตัวจริง ด้วยเหตุที่กลัวผีโพงหรือผีสือจะเข้าปื๊นกะล่าง(ใต้ถุน)ผู้คนจึงตัดต้นหนามเล็บแมวมาวางไว้ใต้ถุนบ้านโดยเฉพาะบ้านที่มีหญิงอยู่เดือน(อยู่ไฟ)มักจะมีเลือดตกค้างตอนคลอดลูกที่ทิ้งลงตามฮูจ้อง(รูช่องกระดานพื้นบ้าน)จะตัดหนามเล็บแมวมากองถมที่ๆเลือดตก กันผีโพงผีสือมาเลียกิน...
จากเรื่องเล่านี้จะเห็นได้ว่า ชาวล้านนาได้จัดกลุ่มของผีโพง อยู่ในหมวดหมู่เดียวกับผีกระสือ โดยผีโพงนั้นจะเป็นเพศชาย ส่วนผีกระสือนั้นจะเป็นเพศหญิง และมีลักษณะในการออกหากินและการพบเห็นที่ใกล้เคียงกัน อีกทั้งยังมีการเตือนให้ระมัดระวังในตอนออกไปทุ่งนาหรือสัญจรในตอนกลางคืน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผีโพงอีกด้วย ในขณะเดียวกันก็มีหนุ่มๆที่ใช้เรื่องของผีโพรงมาบังหน้าเพื่อทำการถ้ำมองสาวๆอาบน้ำในตอนกลางคืน จนถูกเรียกว่า “ผีโพรงดำ” เพราะไม่มีแสงที่จมูกอีกด้วย
สำหรับตำนานการพบเห็นผีโพงนั้น มีหลายเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมา เช่น เรื่องของว่านผีโพง ที่ปรากฏตัวในตำบลพลับพลา อำเภอโคชัย จังหวัดนครราชสีมา บริเวณนั้นมีหมู่บ้านหนึ่งเรียกว่าบ้านหนองผีหลอก ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนาและไร่มันสำปะหลัง เป็นเวลากว่าร้อยปีที่หมู่บ้านแห่งนี้ได้รับคำร่ำลือว่า หนองน้ำที่มีพื้นที่กว่า 100 ไร่ ที่ตั้งอยู่ใกล้กับด่านเกวียนมักมีว่านผีโพงออกมาจับกบ เขียด เป็นอาหารบ่อยครั้ง จนทำให้คนในพื้นที่ไม่กล้าผ่านสัญจรไปมาในตอนกลางคืน
ในเรื่องเล่าของขุนมหาวิชัย ยังได้กล่าวถึงการเผชิญหน้าและต่อสู้กับผีโพงเอาไว้ว่า มีชายคนหนึ่งเห็นผีโพงมาหากินที่ใต้ถุนบ้าน และจำได้ว่าเป็นใครจึงได้เอาหอกซัดใส่กลางหลังของผีโพง ตอนแรกเข้าใจว่าผีโพงน่าจะตายเพราะพิษบาดแผลแต่เมื่อไปตรวจสอบดูในตอนเช้า ปรากฏว่าคนที่เป็นร่างสิงสู่กลับยังคงใช้ชีวิตตามปกติโดยไม่มีบาดแผลเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อไปตรวจดูในสวนของคนที่เป็นผีโพงกลับพบหอกที่ซัดไปปักคาอยู่กับหัวว่านที่ถูกปลูกเอาไว้ ทำให้มั่นใจว่าผีโพงที่ได้เห็นและถูกหอกซัดใส่คือว่านผีโพงที่จำแลงกายในรูปลักษณ์ของเจ้าของออกไปหากินนั่นเอง