กินคนรักษาโรค ความเชื่อสุดพิสดารของชาวยุโรปในศตวรรษ 16-17
คำว่า “ทานเพื่อรักษาโรคภัย” ดูเหมือนจะมีการใช้กันมาอย่างยาวนาน แต่ในความละความหมายกับในปัจจุบันเป็นอย่างมาก เพราะในช่วงศตวรรษที่ 16 – 17 ชาวยุโรปจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่ม “คนรวย” นิยมบริโภคส่วนต่างๆของร่างกายมนุษย์ รวมไปถึงกะโหลกศีรษะและเลือด โดยมีความเชื่อที่แปลกประหลาดว่าการทำเช่นนั้นสามารถช่วย “รักษาโรค” ได้!?
ประวัติศาสตร์การกินมนุษย์ก่อนถึงยุคของชาวยุโรป
แนวคิดในการกินเนื้อมนุษย์เพื่อรักษาตัวเองของชาวยุโรปอาจทำให้หลายคนตาโต แต่ที่จริงแล้วแนวคิดนี้เกิดขึ้นมานานมากแล้ว เช่น นักสู้สมัยโรมันโบราณเคยทำการดื่มเลือดของศัตรูที่ถูกสังหาร โดยเชื่อว่าจะเป็นการ “ดูดซับพลัง” เข้าสู่ร่างกายให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และหมอโบราณจากอารยธรรมเมโสโปเตเมียและอินเดีย ก็เชื่อว่าชิ้นส่วนของมนุษย์มีพลังในการเยียวยา
ชิ้นส่วน เลือดเนื้อและอวัยวะของมนุษย์คือยาชั้นเลิศจากสวรรค์!?
เป็นเวลานานก่อนที่ Ibuprofen และ Penicillin จะพร้อมใช้งาน ผู้คนในยุโรปได้พยายามมองหาวิธีการรักษาโรคภัยไข้เจ็บของตัวเอง การใช้ยาสมุนไพรเป็นเรื่องที่แสนธรรมดา บางครั้งอาจมีตัวยาที่แปลกประหลาดบ้าง แต่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรที่ชวนคลื่นไส้! เหมือนกับการกินเนื้อมนุษย์!?
ชาวยุโรป ณ ช่วงเวลานั้น ตั้งแต่นักบวชไปจนถึงขุนนาง มีแนวคิดแบบสุดแปลกว่า การเนื้อของมนุษย์ ไขมันและกระดูกเป็นยาที่ช่วยรักษาโรคร้ายได้แบบอยู่หมัด โดยความเชื่อสุดแหวกกรอบนี้เริ่มต้นมาจากความเชื่อที่ว่า “มัมมี่” ของอียิปต์ช่วยรักษาโรคได้ เพราะแพทย์ชาวยุโรปนิยมบดชิ้นส่วนของมัมมี่ที่แห้งเป็นผงมาใช้ในการห้ามเลือดออกภายใน
อย่างไรก็ตาม ผู้คนชื่อกันอย่างฝังหัวอีกว่าหากเป็นส่วนผสมของตัวยาที่มี “เลือดมนุษย์” จะต้องมีความสดใหม่มากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพที่ดีมากที่สุดและยังมีความต้องการในท้องตลาดเป็นอย่างมาก!!!
สูตรผสมยาสุดสยองจากชิ้นส่วนของมนุษย์ในการรักษาโรคภัย
ชิ้นส่วนของมนุษย์หลายอย่างถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบสุดเพี้ยน! ในการรักษาโรคภัย โดยชิ้นส่วนที่มักได้รับความนิยม มีดังต่อไปนี้
หัวกะโหลกมนุษย์
กะโหลกศีรษะของมนุษย์เป็นตัวอย่างที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการแก้อาการปวดหัว ส่วนใหญ่แล้วมันจะถูกบดจนเป็นผงเพื่อให้ทานได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ในบางครั้งยังถูกนำไปผสมกับช็อกโกแลตร้อนเพื่อดื่มรักษาโรคเลือดออก แม้แต่พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 เอง ก็ได้ทรงสร้างสูตรลับเฉพาะตัวที่เรียกว่า “The King's Drops” ที่ผสมระหว่างผงกะโหลกมนุษย์ผสมกับแอลกอฮอล์ นอกจากนี้กะโหลกของมัมมี่ที่ถูกฝังเอาไว้ในตะไคร่น้ำ ซึ่งตะไคร้ที่งอกออกมาจากกะโหลกนั้น มีมูลค่าเป็นอย่างมากเพราะเชื่อกันว่าช่วยรักษาปัญหาเลือดกำเดาไหลและโรคลมบ้าหมู
ไขมันมนุษย์
ไขมันของมนุษย์ถูกนำมาใช้ในการรักษาอาการเจ็บป่วยภายนอก เข่น แผลเปิด เป็นต้น แพทย์จะทำการแช่ผ้าพันแผลลงในไขมันที่ได้รับการละลายแล้วนำไปพันเอาไว้รอบบาดแผลเพื่อช่วยป้องกันการติดเชื้อ นอกจากนี้ยังทำการถูชิ้นไขมันลงบนผิวหนังเพื่อช่วยรักษาอาการของโรคเกาต์
เลือดของมนุษย์
เลือดมีประโยชน์ทางการแพทย์ในสมัยนั้นมากกว่าที่คิด เชื่อกันว่าเลือดสดจะยังคงมี “พลังชีวิต” และมีวิญญาณที่ถูกนำออกมาจากร่างกาย ซึ่งเลือดของหนุ่มและหญิงพรหมจารีเป็นที่ต้องการมากที่สุดเพราะเชื่อว่ามีพลังวิญญาณที่ทรงพลังมากที่สุด นายแพทย์ชาวเยอรมันที่มีชื่อว่า Paracelsus กล่าวว่า การดื่มเลือดจะช่วยรักษาโรคได้เกือบทั้งหมดและยังแนะนำว่าให้ดื่มจากคนที่มีชีวิตอยู่จะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดอีกด้วย!? เขายังเป็นผู้สนับสนุนให้จ่ายเงินค่าธรรมเนียมเล็กน้อยให้กับผู้ที่ต้องโทษประหารเพื่อแลกกับเลือดที่ยังอุ่นอยู่ นอกจากนี้ยังมีสูตรอาหารที่เขียนขึ้นในปี 1679 ที่อธิบายขั้นตอนในการนำเลือดมาทำเป็นแยมอีกด้วย!?
เบื้องหลังของเหตุผลในการกินมนุษย์เพื่อรักษาโรค
เหตุผลที่ทำให้คนในสมัยนั้นมองว่าการกินชิ้นส่วนของมนุษย์คือยาวิเศษในการรักษาโรคภัย เพราะเชื่อกันว่าการกินคนคือการ “บริโภคแก่นแท้ของมนุษย์” แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ที่เต็มไปด้วยชื่อเสียงหลุดโลกอย่าง Leonardo da Vinci เอง ก็ได้กล่าวว่า
“เรารักษาชีวิตของตัวเองจากความตายของผู้อื่น ในสิ่งที่ตายแล้ว ชีวิตที่ไม่รู้สึกตัวยังคงอยู่ เมื่อมันกลับมารวมตัวกันในท้องของสิ่งมีชีวิต ก็จะได้ชีวิตที่เต็มไปด้วยความอ่อนไหวและมีสติปัญญากลับคืนมา”
บทสรุปส่งท้าย : ก้าวสู่ศตวรรษที่ 18 ความเจริญทางวิทยาศาสตร์ ปิดฉากตำนานการกินมนุษย์เยียวยา
เมื่อเวลาล่วงผ่านเข้าถึงศตวรรษที่ 18 การเยียวยาตัวเองด้วยการกินมนุษย์เริ่มลดน้อยลง เพราะผู้คนเริ่มให้ความสนใจกับวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ และสุขอนามัยส่วนตัว ความเชื่อในการกินมนุษย์ได้กลายมาเป็นเรื่องอันตราย เช่น เทียนที่ทำจากไขมันของมนุษย์เป็น “เทียนของขโมย” ที่ทำให้คนกลายเป็นอัมพาตได้ เป็นต้น และในปี 1908 ได้มีการดื่มเลือดมนุษย์เป็นครั้งสุดท้าย โดยนำมาใช้ในการประหารชีวิต! แม้ว่าแนวคิดในการในกินเนื้อมนุษย์เพื่อเยียวยาตัวเองจะเป็นสิ่งที่ขยะแขยงและน่ากลัว แต่แนวคิดในการนำอวัยวะของมนุษย์คนอื่นมากปลูกถ่ายให้กับอีกคนหนึ่ง ก็ยังคงเป็นเทคนิคการช่วยชีวิตที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน...
อ้างอิง :
By Eating Corpses, Rich Europeans Once Thought They Could Heal Themselves
8 Creepy Facts From History That Will Make Your Skin Crawl