เหล็กไหล พญาแห่งแร่ธาตุ กับผีขี้เหล็กไหลผู้พิทักษ์มหาธาตุ
เหล็กไหลและขี้เหล็กไหล คืออะไร!?
เหล็กไหล หรือ พญาเหล็ก นางพญาเหล็ก เจ้าแม่ทองธรรมชาติ เหล็กหลาย แร่กินดินปืนและสมิงเหล็ก เป็นต้น ในประเทศมาเลเซียเรียกเหล็กไหลว่า “บีอซีรีเละ” เป็นหนึ่งในแร่ธาตุลึกลับที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างมากในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบ จากคำบอกเล่าเชื่อกันว่าเหล็กไหลคล้ายกับแร่ธาตุทั่วไป แต่มีความพิเศษกว่าคือมีลักษณะเหลวข้น และมีอานุภาพที่เหนืออาคมทั้งปวง ทำให้ผู้มีอาคมไม่ว่าแกร่งกล้าเพียงใดก็ไม่สามารถบังคับให้เหล็กไหลยอมศิโรราบได้ หากอยากครอบครองต้องใช้วางจาและคำเชิญที่ไพเราะเท่านั้น จึงจะสามารถครอบครองเป็นเจ้าของเหล็กไหลได้สำเร็จ โดยความเชื่อในเรื่องของเหล็กไหลสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายตำนาน ดังต่อไปนี้
1.เหล็กไหลคือ ธาตุแห่งแรงดึงดูดของจักรวาล
ยามเมื่อเหล็กไหลตกสะเก็ดจะสลัดตัวจากการเป็นเหล็กไหลกลายเป็นก้อนหินสีดำเมื่อม ที่เรียกกันว่าขี้เหล็กไหลขนาดเล็กสุดเท่ากับเม็ดพริกไทย มีน้ำหนักที่เบาเมื่อเทียบกับก้อนหินที่มีขนาดเท่ากัน บางคนเชื่อว่าที่จริงแล้วเหล็กไหลคือแร่ธาตุที่ทำหน้าที่สร้างแรงดึงดูดให้กับทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก สร้างแรงดึงดูดระหว่างโลกกับดวงจันทร์และยังช่วยทำให้โลกยังคงสามารถหมุนอยู่ในวงโคจรอย่างสม่ำเสมอไม่ลอยไปชนกับดาวดวงอื่น
2.เหล็กไหลคือวิญญาณในสังสารวัฏมาปฏิสนธิตามวิบากกฏแห่งกรรม
ด้วยความเป็นธาตุโลหะที่ความลึกลับและพิสดาร ทำให้เหล็กไหลถูกจัดอยู่ในกลุ่มของ “ธาตุศักดิ์สิทธิ์” ที่มีจิตวิญญาณเป็นของตัวเอง เชื่อว่าจิตวิญญาณในเหล็กไหลที่จริงแล้วคือ วิญญาณในสังสารวัฏมาปฏิสนธิตามวิบากกฏแห่งกรรมกลายมาเป็นเหล็กไหลที่มีพลังอำนาจเหนือกว่าโลหะทั่วไป อยู่ในกลุ่มของเทพที่มาชดใช้กรรมของตัวเอง ในขณะเดียวกันก็มีชีวิตเหมือนกับสัตว์โลกทั่วไป ทำให้เหล็กไหลมีทั้งเพศผู้และเพศเมีย สามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเอง กินน้ำผึ้งเป็นอาหาร อาศัยอยู่รวมกันเป็นอาณาจักร ชอบนอนหลับพักผ่อนในสถานที่เงียบสงบอย่างเช่นตามถ้ำ และเมื่อเหล็กไหลขับถ่ายออกมามูลเหล่านั้นก็จะถูกเรียกว่า “ขี้เหล็กไหล” มีลักษณะเหมือนเหล็กที่เนื้อไม่แน่น คล้ายกับเหล็กที่กำลังผุพังยุบตัว สีดำด้านไม่มีประกายแวววาว แข็งกระด้าง มักพบตามพื้นของถ้ำ หน้าผาสูงหรือชะโงกเงื้อม โดยมักสะสมทับถมกันสูงคล้ายกับจอมปลวก มีขนาดที่หลากหลายตั้งแต่เท่าหัวแม่มือไปจนถึงลูกมะพร้าว นิยมนำไปใช้ผสมกับโลหะเพื่อสร้างเครื่องราว พระบูชา เพื่อเสริมสร้างความขลัง
อานุภาพที่น่าสนใจของเหล็กไหล
โบราณเชื่อว่าเหล็กไหลสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ ดังต่อไปนี้
เหล็กไหลระดับแรก
เหล็กไหลแท้ มีความแวววาว เมื่อใช้ไฟลนสามารถยืดตัวออกมาได้ เป็นเหล็กไหลที่มีฤทธิ์มากที่สุด
เหล็กไหลระดับสอง
รังเหล็กไหล มีความแวววาวรองมาจากเหล็กไหลแท้ ไม่สามารถยืดตัวได้เมื่อทำการลนด้วยไฟ รังดังกล่าวเป็นส่วนที่ทำการห่อหุ้มและฐานรองของเหล็กไหลแท้เอาไว้ มักยึดติดอยู่กับผนังถ้ำ
เหล็กไหลระดับสาม
ขี้เหล็กไหล ลักษณะคล้ายกับน้ำตาเทียม สีดำด้าน มีความแข็งแต่สามารถทุบให้แตกได้ง่าย เกิดจากการที่เหล็กไหลตกสะเก็ด ขับถ่ายออกมาหรือไหลผ่าน เป็นเหล็กไหลที่ไม่ได้มีฤทธิ์เดชใดๆ
ประเภทและสีสันที่บ่งบอกถึงพลังอำนาจของเหล็กไหล
นอกจากระดับชั้นของเหล็กไหลที่ได้กล่าวถึงกันไปแล้วในตอนต้น เหล็กไหลยังสามารถแบ่งออกได้เป็นอีกหลายประเภท ขึ้นอยู่ตามศักดิ์ แหล่งที่มาและสีสันของเหล็กไหล เชื่อกันว่าสาเหตุที่ทำให้เหล็กไหลมีสีสันที่แตกต่างกันนั้น มาจากการที่เหล็กไหลพยายามปรับตัวให้เข้ากับสภาพของภูมิอากาศ และสีสันจะแตกต่างกันออกไปตามที่เหล่าเทวาผู้ปกปักทำการสิงสถิตอยู่ รวมไปถึงการแผ่บุญบารมีของผู้ครอบครองเองก็ส่งผลต่อสีสันของเหล็กไหลได้เช่นกัน ดังต่อไปนี้
1.เหล็กไหลโกฏิปี (เหล็กไหลปีกแมลงทับ) : สีเขียวแวววาวคล้ายปีกแมลงทับ
เป็นเหล็กไหลที่เชื่อกันว่าหายากมากที่สุดในหมู่เหล็กไหลทั้งมวล มีมวลและอำนาจมากที่สุดทำการตัดได้ยากมากและหากทำพิธีตัดได้ไม่ดีเพียงพอคนที่ทำการตัดอาจถึงขึ้นเสียชีวิต เพราะมีอริยเทพ อริยพรหม ในระดับรูปฌาน เป็นผู้ดูแลรักษา และยังมีบริวารคอยทำหน้าที่อารักขาอีกหลายชั้น เพื่อมอบให้กับผู้ถูกเลือกที่มีบุญบารมีและผู้ที่ประพฤติตนอยู่ในบุญกุศลที่แสวงหาความหลุดพ้น ที่บังเอิญพบเข้าจากการลองใจของเทวดาอารักษ์นอกจากนี้ยังนำกลับไปครอบครองบูชาได้ยาก เหล็กไหลประเภทนี้จะไม่แข็งตัวไปตามธรรมชาติ มีสีสันเหมือนปีกแมลงทับ มีสายรุ้งปรากฏอยู่ให้เห็นและเปลี่ยนสีไปเองตลอดเวลา
คุณสมบัติของเหล็กไหลโกฏิปี
เหล็กไหลที่มีพลังอำนาจยอดเยี่ยมในทุกด้านไม่ว่าจะเป็นเมตตามหานิยม เรียกโชคลาภ แคล้วคลาด ป้องกันภัยอันตราย ล่องหนหายตัว คงกระพันและป้องกันการถูกเพลิงเผา
2.เหล็กไหลเจ้าป่า (พญาสมิงเหล็ก) : สีดำคล้ายนิล
เหล็กไหลที่มีพลังอำนาจมากใกล้เคียงกับเหล็กไหลโกฏิปี ลักษณะคล้ายกับนิล หาได้ยากและไม่แข็งตัวตามธรรมชาติ เชื่อว่ามีเทวดา เจ้าป่าเจ้าเขาคอยคุ้มครองเอาไว้ ทำให้หาพบได้ยาก
คุณสมบัติของเหล็กไหลเจ้าผ่า
อำนาจช่วยในการคุ้มครอง แคล้วคลาดป้องกันภัยและคงกระพัน
3.เหล็กไหลเพลิง (เหล็กไหลประสานกาย) : สีแดงคล้ายเลือด
เหล็กไหลที่มีปริมาณของธาตุไฟบรรจุอยู่เป็นจำนวนมาก เชื่อกันว่าเหล็กไหลประเภทนี้ทำการดูดเอาความร้อนจากลาวาใต้เปลือกโลกมาสะสมเอาไว้ในตัว เนื้อของเหล็กไหลจะมีสีใส เมื่อพลังงานของเหล็กไหลลดน้อยลงหรือจำนวนเหลือน้อยก็จะเปลี่ยนสีคล้ายกับอิฐมอญ เป็นเหล็กไหลที่ไม่ควรนำมาฝังเอาไว้ในร่างกายเพราะมีความร้อนที่สูง อย่างไรก็ตามเหล็กไหลเพลิงมีพลังในการช่วยดูดพิษจากสัตว์ประเภทต่างๆมาสะสมเอาไว้ในตัวเองได้อีกด้วย
4.เหล็กไหลเงินยวง (เหล็กไหลชีปะขาว): สีขาวคล้ายปรอท
เหล็กไหลที่มักพบในสถานที่ที่มีอากาศเย็น ไปจนถึงหนาวเหน็บ มักพบในประเทศเนปาล ธิเบต หรือประเทศที่หนาวจนถึงขั้นมีหิมะตก มีลักษณะคล้ายกับปรอท มีความแววเหมือนกับโลหะ เชื่อกันว่าในเหล็กไหลประเภทนี้มีวิญญาณหรือคนธรรพ์คอยดูแลรักษาอยู่
คุณสมบัติของเหล็กไหลเงินยวง
เชื่อกันว่าเหล็กไหลเงินยวง มีจุดเด่นในเรื่องของเมตตามหานิยม คงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและล่องหนหายตัวได้ รวมไปถึงการดลใจให้ผู้ที่ครอบครองเกิดจิตใจที่ฝักใฝ่ในการสร้างบุญกุศล ทำให้จัดอยู่ในกลุ่มของเหล็กไหลที่มีบารมีธรรมสูงสุด ในสมัยโบราณนิยมนำเหล็กไหลยวงไปสร้างเป็นพระพุทธรูป และมักอยู่ในการครอบครองของเหล่านักบวชผู้ถือศีล เช่น ฤๅษี ชีไพร ภิกษุสงฆ์ และผู้ที่ท่องเที่ยวตามหาสัจธรรมท่ามกลางความวิเวกของป่าเขา
5.เหล็กไหลน้ำ (เหล็กไหลน้ำตา) : สีดำแก้มเขียวหรือน้ำตาลอมแดง
มักพบในบริเวณที่เป็นแหล่งน้ำและหาได้ยากเพราะได้รับการดูแลคุ้มครองโดยพญานาค หากต้องการตามหาเหล็กไหลน้ำต้องใช้แม่เหล็กมาล่อเพื่อให้เหล็กไหลยอมเผยตัวออกมา ในสมัยโบราณเหล็กไหลน้ำจะถูกนำมาเคี่ยวด้วยคาถาอาคมเพื่อนำไปหล่อเป็นวัตถุของขลังหรือพระพุทธรูป เชื่อกันว่าบริเวณที่พบเหล็กไหลน้ำได้มากที่สุดคือจังหวัดหนองคาย บริเวณภูเขาควายและถ้ำเพียงดิน
คุณสมบัติของเหล็กไหลน้ำ
มีอำนาจที่โดดเด่นในการช่วยลบล้างอาถรรพ์มนต์ดำ อวิชชาและป้องกันเหล่าภูตผีปีศาจ
6.เหล็กไหลเปียก : สีขาวคล้ายปรอท
เหล็กไหลเปียกมีลักษณะและสีสันที่คล้ายคลึงกับเหล็กไหลเงินยวง แต่มีคุณสมบัติพิเศษในการเปลี่ยนแปลงสีสันของตัวเองได้
7.โคตรเหล็กไหลงอก
เหล็กไหลที่สามารถแข็งตัวได้เองตามธรรมชาติ โดยงอกตัวออกมาคล้ายกับหินงอกหินย้อยในถ้ำ เป็นเหล็กไหลชั้นรองที่สามารถทำการตัดออกได้โดยไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เวทมนตร์คาถาอาคม แต่ต้องทำการบอกกล่าวขอตัดจากเทวดา ผู้คุ้มครองเสียก่อนถึงจะสามารถทำการตัดได้
8.โคตรเหล็กไหลทรหด
เป็นเหล็กไหลที่สามารถตัดได้เหมือนกับโคตรเหล็กไหลงอก แต่จะมีความแตกต่างกันบางประการคือจะงอกออกมาเป็นก้อนและมีปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ มีคุณสมบัติเป็นแร่เย็น ที่เหมาะอย่างมากในการนำมาช่วยนั่งสมาธิบำเพ็ญบารมี เพราะเหล็กไหลทรหดจะช่วยทำให้จิตใจนิ่งสงบ สดชื่นอย่างยาวนานมากขึ้น
9.โคตรเหล็กไหลย้อย : สีดำอมแดง สีน้ำเงินและสีรุ้ง
เหล็กไหลที่มีขนาดใหญ่มากที่สุด โดยมีขนาดตั้งแต่เท่ากำปั้นไปจนถึงเท่ากับโอ่งมังกร มีลักษณะคล้ายกับเทียนที่ถูกลนด้วยเปลวไฟและสามารถงอกใหม่ได้เรื่อยๆ โดยงอกออกมาในลักษณะคล้ายกับเมล็ด เชื่อว่ามีวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ในเหล็กไหลประเภทนี้ เช่น คนธรรพ์ เจ้าป่า เจ้าเขา หรือพระฤๅษีที่ทำการบำเพ็ญภาวนาจนตบะแกร่งกล้า โคตรเหล็กไหลย้อยสามารถพบได้มากที่สุดที่ อ.ปราสาท จ.สุรินทร์
คุณสมบัติของเหล็กไหลย้อย
อำนาจมหาศาล สามารถอธิษฐานในสิ่งที่ต้องการได้อย่างสมปรารถนาแต่ต้องไม่เกินอำนาจของกฏแห่งกรรม
10.เหล็กไหลหยด (เหล็กหยด หรือเหล็กกลบ) : สีดำด้าน
ลักษณะคล้ายกับน้ำตาเทียนที่ถูกลนด้วยเปลวไฟแล้วหยดลงมาบ้างมีลักษณะกลม หนึ่งหยดมีขนาดเท่ากับประมาณหนึ่งนิ้วชี้ มีรูพรุนและกลวง เป็นเหล็กไหลที่มีคุณภาพต่ำมาก พบได้มากที่ อ.ปราสาท จ.สุรินทร์
การพกพาเหล็กไหล
เชื่อกันว่าการพกพาเหล็กไหลติดตัวเอาไว้จะช่วยปกป้องคุ้มครองให้รอดพ้นจากภัยอันตรายทั้งปวง โดยลักษณะของการพกพาเหล็กไหลนั้น นิยมพกพาด้วยวิธีดังต่อไปนี้
1.วัตถุมงคลและเครื่องราง
โดยทั่วไปแล้วมักนิยมนำเอาขี้เหล็กไหลมาผสมกับโลหะมงคลประเภทต่างๆเพื่อหลอมสร้างเป็นเครื่องรางเช่น พระเครื่อง ตะกรุด เป็นต้น เพื่อพกพาติดตัวเอาไว้ อย่างไรก็ตามเครื่องรางเหล่านี้จะไม่มีพลังอำนาจที่เหมือนกับเหล็กไหลแท้
2.ฝังเอาไว้ในร่างกาย
หลายคนเชื่อว่าการฝังเหล็กไหลเอาไว้ในร่างกายจะสามารถช่วยปกป้องคุ้มครองเจ้าของร่างจากอันตรายนานัปการ หากถูกมีดฟันก็จะไม่เข้า หากถูกยิงด้วยปืนก็จะไม่ระคายผิวหนังหรือยิงไม่ออก อย่างไรก็ตามมีเหล็กไหลบางประเภทที่ไม่ควรฝังเอาไว้ในร่างกาย เช่น เหล็กไหลเพลิง เนื่องจากมีความร้อนที่ค่อนข้างสูงนั่นเอง
3.สร้างเป็นพระพุทธรูป
เหล็กไหลบางประเภทมีพลังอำนาจทางพุทธคุณที่ช่วยให้ผู้ครอบครองอยากที่จะมุ่งมั่นฝักใฝ่ทางธรรมทำความดี และช่วยให้จิตใจสงบนิ่งเหมาะกับการบำเพ็ญภาวนา ทำให้ได้รับความนิยมนำมาหล่อสร้างเป็นพระพุทธรูป และอยู่ในการครอบครองของเหล่านักบวชและผู้แสวงหาเส้นทางแห่งธรรม
ผีขี้เหล็กไหล ผู้ปกปักรักษาธาตุศักดิ์สิทธิ์
ผีขี้เหล็กไหล คือ ผีที่ทำหน้าที่ในการฝ้าปกปักรักษาเหล็กไหล ที่เป็นแร่ธาตุที่ทรงพลังมากกว่าแร่ธาตุอื่นทั่วไป ถ้าหากใครสามารถนำเหล็กไหลกลับไปได้สำเร็จ ผีขี้เหล็กไหลก็จะตามไปทวงคืนด้วยการทำให้ผู้ครอบครองเจ็บป่วยรักษาไม่หาย วิธีเดียวที่จะบรรเทาอาถรรพ์จากร้ายให้กลายเป็นดีได้คือ การนำเหล็กไหลไปคืนยังที่นำมาเท่านั้น อนึ่งผีขี้เหล็กไหลนี้ เป็นเพียงบริวารระดับล่างสุดที่ทำหน้าที่ในการดูแลรักษาเหล็กไหลเท่านั้น ยิ่งเหล็กไหลมีความหากยากและพลังอำนาจมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์และความลี้ลับในการดูแลรักษาที่มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
การค้นหาเหล็กไหล
จากบันทึกพบว่าการค้นหาและตัดเหล็กไหลนั้น เป็นสิ่งที่เกินความสามารถของคนธรรมดาทั่วไป เพราะเหล็กไหลจะได้รับการปกป้องดูแลจากเทวดา เจ้าป่า เจ้าเขา พญานาค ยักษ์หรือผีขี้เหล็กไหล ที่ทำหน้าที่คอยปกปักรักษาอยู่ หากคนผู้นั้นไม่ได้มีบุญบารมีหรือวิชาอาคมแกร่งกล้าเพียงพอก็จะถูกทำร้ายจากพลังอันลี้ลับ นอกจากนี้เหล็กไหลเอง
เครื่องมือสำหรับใช้ในการตัดเหล็กไหล
สำหรับเครื่องมือที่นำมาใช้ในพิธีการตัดเหล็กไหลนั้นจะมีความแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับข้อกำหนดและการสั่งสอนสืบต่อกันมาของอาจารย์แต่ละสาย เช่น หวายผูกลูกนิมิต ใบตาล เส้นผมของหญิงพรหมจารี ขวานเทียนเข้าพรรษาประจำเดือนของทารกแรกเกิด เป็นต้น สำหรับอุปกรณ์ที่นิยมนำมาใช้ในการตัดเหล็กไหลโดยสังเขป พอที่จะสรุปออกมาได้ดังต่อไปนี้
- สายสิญจน์จากปากหลุมลูกนิมิต
- ไม่ตาขอ 9 อันใหญ่พิเศษหนึ่งอัน
- มีดหมอลงอาคมเพื่อใช้ในการตัดเหล็กไหล
- น้ำผึ้งป่า
วิธีการตัดเหล็กไหล
การตัดเหล็กไหลจำเป็นที่จะต้องมีคาถาเรียกเหล็กไหล คาถาผูกเหล็กไหล และคาถาตัดเหล็กไหล การตัดเหล็กไหลเมื่อเรียกให้เหล็กไหลปรากฏตัวออกมาแล้ว จะต้องนำน้ำผึ้งมาชโลมก้อนเหล็กไหล และใช้ไฟลนเพื่อเป็นการกระตุ้นให้เหล็กไหลออกมากินน้ำผึ้งไปพร้อมกับเล่นไฟไปด้วยและต้องลนจนกระทั่งเหล็กไหลบางลงจนมีขนาดเท่ากับเส้นด้ายจึงจะสามารถทำการตัดให้ขาดออกจากกันได้สำเร็จ จากนั้นจึงค่อยใช้คาถาอัญเชิญเหล็กไหลเพื่อนำกลับ อย่างไรก็ตามเหล็กไหลมีพลังอำนาจเป็นอย่างมากและมักขัดขืนคนที่พยายามตัด โดยมีตำนานที่เล่าขานถึงคนที่พยายามทำการตัดเหล็กไหลด้วยการใช้มือสัมผัสโดยตรง แต่กลับเกิดอาการคล้ายกับการถูกฟ้าผ่า หรือถูกไฟฟ้าแรงสูงดูด แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล่าลือแต่ก็เป็นการช่วยให้เห็นถึงความมหัศจรรย์ของเหล็กไหลได้เป็นอย่างดี ดังนั้น จำเป็นที่จะต้องขออนุญาตผู้ที่ทำหน้าที่ปกป้องเหล็กไหลเสียก่อน เพราะหากไม่ได้รับอนุญาตแล้วยังดื้อดึงจะหักหาญเอาด้วยกำลังอาจทำให้เกิดอันตรายมากมายได้
คาถาเรียกเหล็กไหล
ดังนั้นเมื่อเหล็กไหลอยู่ในสถานที่ใดเป็นที่แน่ชัดแล้วก็ต้องใช้คาถาเรียกเหล็กไหลดังนี้
“โอมสวาโหมมามามะมะนะรักจะจิตตังพันธะนัง”
“มะมาหาข้าพเจ้ามาเร็วๆพ่อคุณแม่คุณมาด้วยปิยะปิยัง”
“นะร้องไห้โมคร่าครวญภะอยู่ไม่ได้คะรีบออกมาวาเป็นของข้าพเจ้า#นะโมพุทธายะติดสะอะระหัง”
“มะเชิญออกมาให้เห็นเป็นบุญตาอะให้อึดอัดอยู่ไม่ได้อุอุราร้อนใจดังไฟสุมออกมาทันใดอยัมภะทันตาทันใจ”
คาถาผูกเหล็กไหล
เมื่อนำน้ำผึ้งออกมาล่อเหล็กไหล จนเหล็กไหลมีขนาดออกมามกเพียงพอสำหรับการตัด ผู้ประกอบพิธีต้องนำสายสิญจน์ที่จัดเตรียมเอาไว้มาผูกกับโคนของเหล็กไหลที่ติดกับหินเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เหล็กไหลหดหนีกลับเข้าไปในหิน พร้อมกับบริกรรมคาถา ดังต่อไปนี้
#นะโม 3 จบ
“อิผูกติมัดปิรัดโสตรึงภะดึงคะอยู่วายอม”
“นะโมนะมัดให้มัดเอาไปพุทธะพุทธังสังมิ”
คาถาตัดเหล็กไหล
บริกรรมคาถากำกับดังนี้
#นะอ่อนโมนิ่มพุทธเข้าธาขาดยะฤทธิ์เดชพินาศ#ขาดด้วยมะอะอุนะมะพะทะ
#นะโมตัสสะตัดนะตัสสะ
คาถาอัญเชิญเหล็กไหล
“พุทโธเมนาโถธัมโมเมนาโถสังโฆเมนาโถ”
“สะกะพะจะปูชาจะบูชาท่านผู้ดูแลรักษาธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ทรงฤทธิ์อานุภาพ”
“อิสะวาสุอิติปิโสภะคะวา”
“เหล็กไหลเจริญมาเจริญยิ่งเจริญดีสิ่งดีๆทั้งหลายหลั่งไหลเข้ามาหาข้าพเจ้า”
“สัมมะสัมมาสัมมาสัมมะมะอะอุ”
“นะมะพะทะนะโมพุทธายะ”
คุณสมบัติของผู้ที่สามารถขอทำการตัดเหล็กไหล
เหล็กไหล เป็นแร่ธาตุที่มีพลังลึกลับและยังได้รับการปกปักรักษาจากเทวดา ยักษ์ ผีขี้เหล็กไหล ทำให้ผู้ที่ต้องการตัดเหล็กไหลจำเป็นที่จะต้องมีคุณสมบัติที่เหมาะสม เพราะหากถือดีหักหาญตัดด้วยกำลัง หรือใช้เวทมนตร์คาถาก็จะทำให้เกิดความฉิบหายให้กับคนผู้นั้น สำหรับผู้ที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมในการลงมือขอตัดเหล็กไหล ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
- เป็นผู้มีคุณธรรม
- ประพฤติตนเป็นคนดี
- ปฏิบัติและรักษาศีลได้อย่างมั่นคง
- ไม่มีจิตใจละโมบ
- บอกกล่าวขออนุญาตจากเทวดา เทพและผีผู้ดูแลเหล็กไหล หากได้รับอนุญาตจึงจะสามารถทำการตัดเหล็กไหลได้
คาถาบูชาธรรมธาตุเหล็กไหล
เหล็กไหล เป็นแร่ธาตุที่มีความศักดิ์สิทธิ์ มีจิตวิญญาณและความเมตตา ดังนั้น ผู้ครอบครองต้องทำการบูชาด้วยความเชื่อด้วยคาถาดังต่อไปนี้
*ตั้งนะโม 3 จบ
“ พุทโธเมนาโถ ธัมโมเมนาโถ สังโฆเมนาโถ สะกะพะจะ บูชา จะ มหาบูชา
ท่านผู้ดูแลรักษา ธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ อันทรงฤทธิ์อานุภาพนี้
อิสะวาสุ อิติปิโส ภะคะวา เหล็กไหลเจริญมา เจริญยิ่ง เจริญดี สิ่งดี ๆ ทั้งหลาย หลั่งไหลเข้ามาสู่แก่ตัวข้าพเจ้า (*กล่าวชื่อและนามสกุลของผู้บูชา)
สัมมะ สัมมา สัมมา สัมมะ นะมะอะอุ นะมะพะทะ นะโมพุทธายะ ”
***ขณะกล่าวคาถาในท่อน “นะ มะ อะ อุ” ให้ทำการกำหนดจิตรับพลังของเหล็กไหลไปยัง นะ (หน้าผาก) มะ (หน้าอก) และ อุ (หน้าท้อง บริเวณสะดือ)
เรื่องราวของผีขี้เหล็กไหลในจังหวัดขอนแก่น
ตอนที่ผู้เขียนยังเป็นเด็ก คุณปู่เคยเล่าเรื่องราวของเหล็กไหลให้ฟังเอาไว้ว่า ในวัดของหมู่บ้านที่อยู่ตั้งอยู่รั้วรอบขอบชิดกับบ้านของคุณปู่ในสมัยก่อนมีเหล็กไหลและขี้เหล็กไหลฝังตัวอยู่ในดิน จนกระทั่งชาวบ้านทราบเรื่องจึงได้พากันมาหาขุดหาเหล็กไหลจนกระทั่งพื้นวัดกลายเป็นหลุมบ่อไปจนหมด แต่ก็ยังไม่มีใครค้นพบเหล็กไหล จนกระทั่งวันหนึ่งได้ชายหญิงคู่หนึ่งได้มากราบนมัสการหลวงพ่อบอกว่าจะมานำสิ่งล้ำค่าในวัดไปไว้ที่อื่น เมื่อกราบลาเสร็จแล้วชายหญิงคู่นั้นก็ได้เหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับมีเหล็กไหลสีดำจำนวนมากไหลเหมือนสายน้ำออกจากพื้นดินตามหลังไปจนหมด เชื่อว่าชายหญิงคู่นี้อาจเป็นเทวดาหรือผีขี้เหล็กไหลที่นำพาแร่ธาตุศักดิ์สิทธิ์ไปอยู่ ณ สถานที่ห่างไกลจากการรบกวนของมนุษย์
เหล็กไหลกับขบวนการลวงโลก
ด้วยพลังอำนาจที่น่าสนใจของเหล็กไหล ทำให้มีคนจำนวนมากที่อยากครอบครองเป็นเจ้าของ จนทำให้เกิดขบวนการลวงโลกที่หลอกลวงผู้คนให้สูญเสียทรัพย์สินด้วยการขายเหล็กไหลปลอม จนบางครั้งก็นำมาซึ่งโศกนาฎกรรมที่น่าเศร้าอย่าง เช่นการสวมเหล็กไหลแล้วทดสอบด้วยการใช้มีดฟันหรือปืนยิง โดยเชื่อว่าจะช่วยป้องกันอันตรายได้
บทสรุปส่งท้าย : เหล็กไหลกับคำอธิบายด้านวิทยาศาสตร์
นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่าเหล็กไหล คือ โลหะหรือวัสดุที่มี “จุดหลอมเหลวต่ำ” ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น อุกาบาตจากนอกโลกและซิลิเกตจากใต้โลก เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุวัตถุที่มนุษย์สามารถทำการสังเคราะห์ขึ้นมาได้เองอย่างเช่น ปรอทและแกลเลียม เป็นต้น ธาตุเหล่านี้สามารถหลอมเหลวได้แม้ในอุณหภูมิห้องตามปกติ และเหตุผลที่ทำให้เหล็กไหลสามารถแสดงสีสันเมื่อตกกระทบกับแสงแดดหรือแสงไฟ มาจากการแทรกสอดในฟิล์มบาง (Thin-Film Interference) ที่ทำให้เกิดการสอดแทรกของแสงที่สะท้อนกับเนื้อวัตถุจนกลายเป็นสีสันที่ผิดธรรมชาติ...