หอคอยแห่งความเงียบ (Tower of Silence) ชำระมลทินศพด้วยแสงแดด
หอคอยแห่งความเงียบ (Tower of Silence) หรือ dakhma เป็นสถานที่ประกอบพิธีศพที่น่าสนใจของศาสนาโซโรอัสเตอร์ พบได้ในประเทศอิหร่านและในเมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย แม้ในปัจจุบันหอคอยแห่งความเงียบ (Tower of Silence) จะถูกใช้งานน้อยลง แต่มันก็ยังคงเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ในการทำพิธีศพอันน่าประหลาดใจมาอย่างยาวนานมากว่า 3,000 ปี
พิธีศพในหอคอยแห่งความเงียบ (Tower of Silence)
หอคอยแห่งความเงียบ (Tower of Silence) จะถูกสร้างอย่างค่อนข้างสม่ำเสมอ โดยมีหลังคาเกือบแบนมีเส้นรอบวงจะมีความสูงกว่าจุดศูนย์กลางเล็กน้อย ในส่วนของหลังคาจะถูกแบ่งออกเป็นสามวงกลม โดยแต่ละวงถูกใช้กับกลุ่มบุคคลที่มีความแตกต่างกัน ดังต่อไปนี้
วงกลมรอบนอก :ถูกใช้ในการวางร่างของผู้ชาย
วงกลมชั้นที่สอง : ถูกใช้ในการวางร่างของผู้หญิง
วงกลมชั้นในสุด : ถูกใช้ในการวางร่างของเด็กๆ
ก่อนที่ศพจะถูกนำไปเข้าสู่หอคอยแห่งความเงียบ (Tower of Silence) ศพจะถูกล้างด้วยน้ำ และ “โกเมช” (*ปัสสาวะของวัว) ทำการซักเสื้อผ้าและทำความสะอาดในจุดที่จะวางศพให้นอนเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากนั้นจะมีการจูงสุนัขเข้าไปบริเวณที่วางศพเอาไว้เพื่อเป็นการกักขังปีศาจร้าย ศพจะถูกนำไปวางเอาไว้บนหินหรือหลุมตื้นๆ พร้อมกับวาดวงกลมเอารอบศพเพื่อเป็นการสร้างระยะห่างระหว่างศพกับผู้ที่มาเยี่ยมเคารพศพ บริเวณโดยรอบจะมีการเผาไม้หอมเพื่อช่วยทำให้สถานที่ทำพิธีปลอดภัยจากโรคและการปนเปื้อนของสิ่งชั่วร้าย (*ในอดีตหากเป็นคนนอกศาสนาจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมพิธี) ครอบครัวและญาติจะทำการสวดมนต์ให้กับวิญญาณของผู้ตายเป็นเวลา 3 วัน พร้อมกับหลีกเลี่ยงส่วนประกอบของอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ ในบ้านที่ทำการเตรียมงานศพ
พิธีกรรมนำศพไปยังหอคอยแห่งความเงียบ (Tower of Silence) จะถูกทำขึ้นในตอนกลางวันเท่านั้น และจำนวนของคนหามศพต้องเท่ากันเสมอ ผู้ติดตามศพต้องเคลื่อนไหวร่วมกันเป็นคู่ หลังจากที่ร่างไร้วิญญาณได้รับการแผดเผาจากแสงแดด สายลมและนกแร้งเป็นระยะเวลานาน บางครั้งอาจมากกว่าหนึ่งปีจนเหลือเพียงกระดูกขาวโพลน ก็จะถูกนำมารวมกันเอาไว้ในหลุมที่อยู่บริเวณใจกลางของหอคอยที่มีลักษณะเป็นบ่อน้ำมะนาวที่ช่วยให้กระดูกเกิดการสลายตัวอย่างรวดเร็ว เมื่อนำฝนไหลผ่านตัวกรองที่ทำจากถ่านหินและทรายหลายชั้นน้ำสะอาดไร้มลทินที่ได้รับการกรองแล้วก็จะถูกปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติอีกครั้ง
เหตุผลในการชำระล้างมลทินศพด้วยแสงแดดของศาสนาโซโรอัสเตอร์
ในความเชื่อของศาสนาโซโรอัสเตอร์ เชื่อว่าเมื่อคนเราเสียชีวิตไปแล้ว ร่างกายที่ไร้วิญญาณจะเต็มไปด้วยมลทิน ในขณะที่ปีศาจเอวก็จ้องที่จะจะเข้าสิงร่างไร้วิญญาณพร้อมกับสร้างความแปดเปื้อนให้กับทุกสิ่งที่มันสัมผัส รวมถึงเป็นอันตรายต่อวิญญาณของผู้ล่วงลับ ดังนั้น จึงได้มีการออกกฎเพื่อกำจัดกับศพของคนตายด้วยวิธีที่ปลอดภัยมากที่สุดต่อโลกและไฟ สองสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาโซโรอัสเตอร์ ศพของคนตายจะถูกนำไปวางเอาไว้บนหอคอยเพื่อตากแดด และถูกนกแร้งจิกกินเนื้อหนัง เป็นการปล่อยให้ศพเกิดการเน่าเปื่อยไปพร้อมกับความชั่วร้ายทั้งปวงไปพร้อมกัน ซึ่งเชื่อว่าเป็นวิธีที่ช่วยยับยั้งความชั่วร้ายที่ได้ผลดีมากที่สุด เพราะเป็นการสร้างสมดุลระหว่าง “ความดี” กับ “ความชั่ว” นั่นเอง
หอคอยแห่งความเงียบ (Tower of Silence) ในประเทศอินเดีย
หอคอยแห่งความเงียบ (Tower of Silence) ในประเทศอินเดียถูกเรียกว่า doongerwadi มีอายุกว่า 300 ปี มันมีโครงสร้างลักษณะเป็นวงกลมยกสูงเหมือนกับหอคอยจำนวนสามแถว และยังมีโครงสร้างที่ถูกเรียกว่า bunglis ที่ใช้เป็นสถานที่สวดมนต์โดยผู้ดูแลที่เรียกว่า khandias ก่อนที่ร่างไร้วิญญาณจะถูกนำไปทำพิธีชำระล้างมลทินต่อไป อย่างไรก็ตาม หอคอยแห่งความเงียบ (Tower of Silence) ในประเทศอินเดีย กำลังได้รับผลกระทบที่รุนแรงจากจำนวนของนกแร้งที่ลดลงเป็นอย่างมากจนเริ่มทำให้พิธีชำระล้างศพใช้ระยะเวลานานมากขึ้น จนกลายเป็นปัญหาที่สาวกศาสนาโซโรอัสเตอร์ในประเทศอินเดียพยายามแก้ปัญหา และหนึ่งในตัวเลือกที่อาจฟังดูเข้าท่ามากที่สุดคือการใช้เครื่องกำเนิดพลังแสงอาทิตย์ที่ทรงพลังเข้ามาช่วยทำให้ศพแห้งกรอบได้อย่างรวดเร็ว เพื่อยังคงรักษาไว้ซึ่งความเชื่อและหลักคำสอนของตัวเองในโลกที่กำลังพัฒนามากขึ้นทุกขณะ
บทสรุปส่งท้าย : หอคอยแห่งความเงียบ (Tower of Silence) กับโลกยุคปัจจุบัน
ในโลกยุคปัจจุบันที่มีอัตราการขยายตัวของเมืองสูงขึ้นเป็นอย่างมากทำให้ หอคอยแห่งความเงียบ (Tower of Silence) ถูกลดการใช้งานลงอย่างมาก โดยเฉพาะในประเทศอิหร่าน ที่ตั้งแต่ปี 1970 เป็นต้นมา หอคอยแห่งความเงียบ (Tower of Silence) ได้กลายมาเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ทำให้ผู้ที่นับถือศาสนาโซโรอัสเตอร์ต้องปรับตัวเข้ากับพิธีการฝังศพแบบใหม่ ด้วยการฝังเอาไว้ใต้คอนกรีตเพื่อเป็นการช่วยป้องกันจากสิ่งปนเปื้อนได้เป็นอย่างดีที่สุด แม้ว่าหอคอยแห่งความเงียบ (Tower of Silence) จะไม่ได้ถูกนำมาใช้งานในปัจจุบัน แต่มันก็ยังเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์แห่งความตายที่กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เหมาะกับการเยี่ยมชม เพื่อรำลึกถึงหนึ่งในพิธีศพที่สุดแปลกที่สุดในโลกได้เช่นกัน...