ถ้าหากคุณมีโอกาสได้เที่ยวที่ชิคาโก้ รัฐอิลินอย ประเทศสหรัฐอเมริกา แล้วเอ่ยปาก ถามนักล่าท้าผีคนใดก็ตาม ถึงสถานที่สุดเฮี้ยนในชิคาโก้ รับรองพวกเขาจะพาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “สุสาน Bachelor's Grove” เป็นหนึ่งในสถานที่สุดเฮี้ยน ที่ผู้ชื่นชอบเรื่องลี้ลับ ควรจะไปเยี่ยมเยือนสักครั้งโดยหวังว่าจะได้พบกับเรื่องราวสุดลี้ลับโดยเฉพาะวิญญาณของ “ผู้หญิงสีขาว” ที่สุดแสนขึ้นชื่อ
สุสานเล็กๆ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ชานเมืองชิคาโก้ เป็นหนึ่งในสุสานที่ติดทำเนียบสุดเฮี้ยนของประเทศสหรัฐอเมริกา ในเขตผืนป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้มากมายอันเงียบสงบของเขตชานเมือง หลายคนเชื่อฝังหัวว่าสุสานเก่าๆ แห่งนี้ คือ สถานที่มีปรากฏการณ์เรื่องผีมากที่สุดในภูมิภาคแห่งนี้
สำหรับคนที่ต้องการมาเยือนสุสาน Bachelor's Grove สามารถทำได้ด้วยการออกจากถนนสายหลักหมายเลข 151 ตามเส้นทางลูกรังที่ถูกห้อมล้อมด้วยป่าเขตอนุรักษ์ทึบทั้งสองข้างทาง จนถึงถนนสายเก่าที่ถูกปิดกั้นด้วยโซ่ และเสาคอนกรีต ที่นั่นคุณจะได้พบกับป้ายเตือนว่า “ห้ามบุกรุก” เมื่อเดินเท้าต่อมาอีกประมาณครึ่งไมล์ คุณจะพบสุสาน Bachelor's Grove ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางป่าผืนใหญ่
เดิมที่สุสานแห่งนี้ ทำหน้าที่ในการฝังศพชาวอังกฤษ ที่ย้ายมาตั้งรกรากในทวีปอเมริกา ในช่วงปี 1833 มันเคยชื่อว่า “สุสาน Everdon” หลังจากที่เจ้าของที่ดินแห่งนี้นามว่า “Samuel Everdon” ได้ถูกฝังร่างที่ไร้วิญญาณลงในสถานที่แห่งนี้เป็นศพแรก หลังจากนั้น สุสานนี้ก็ได้เปลี่ยนชื่ออีกหลายครั้ง จนกระทั่งรู้จักกันในชื่อ “Bachelor's Grove” อย่างในปัจจุบัน ศพสุดท้ายที่ถูกฝังในสุสานแห่งนี้ เชื่อว่าคือ Laura M. McGhee ในปี 1965 และ Robert E. Shields ที่ถูกเผา แล้วนำเถ้ากระดูกมาเก็บรวมไว้กับครอบครัวในสุสาน เมื่อปี 1989 หลังจากนั้น ก็ไม่มีการฝังศพใหม่ๆ ในสุสานแห่งนี้อีกเลยนานนับสิบปี แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ช่วยลดดีกรีความเฮี้ยนของปรากฏวิญญาณหลอนให้น้อยลงแต่อย่างใด
ก่อนหน้านี้ สุสาน Bachelor's Grove เคยเป็นสถานที่พลอดรักขึ้นชื่อของเหล่าคนหนุ่มสาว แต่หลังจากที่ถนนใกล้เคียงถูกปิด สุสานแห่งนี้ก็ได้กลายมาเป็นสถานที่โดดเดี่ยว พร้อมกับการเสื่อมสลายลงไปตามวันเวลาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับข่าวลือเรื่องแปลกๆ ที่เริ่มเกิดมากขึ้นเรื่อยๆ
ในช่วงปี 1960 ความเปลี่ยวของสถานที่ สร้างหายนะให้กับตัวสุสานอย่างมาก มันถูกทำลายจากกลุ่มวัยรุ่นมือบอนด้วยการพ่นสี ป้ายหลุมศพถูกลบ หลุมศพถูกเปิดเพื่อค้นหาสิ่งของมีค่า บางครั้งพบว่ากระดูกในสุสานกระจัดกระจายอยู่เกลื่อนไปหมด นอกจากนี้ ทะเลสาบเล็กๆที่อยู่ติดกับสุสาน ยังเคยพบศพที่ถูกฆาตกรรม และอาวุธปืนที่ผิดกฎหมายหลายคนเชื่อว่า การรบกวนสุสานโดยปราศจากเศษเสี้ยวของความเคารพนี้เอง ที่เป็นชนวนให้เกิดปรากฏการณ์ผีหลอกวิญญาณหลอนขึ้น แต่มีหลายคนที่อ้างว่า อาถรรพ์ทั้งหมดเกิดขึ้นจากการประกอบพิธีกรรมมนต์ดำ เนื่องจากชุดลาดตระเวนของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ พบอุปกรณ์ประกอบพิธีกรรมบูชาซาตานในบริเวณใกล้ๆ อย่างเช่น ศพของไก่ หรือสัตว์เล็กๆ ที่ถูกฆ่า รวมไปถึงการแกะสลักเครื่องหมายสไยเวทย์ตามหลุมศพ รวมไปถึงต้นไม้รอบๆ สุสานอีกด้วย
หลังจากนั้นไม่นาน ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้กับสุสาน เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของสถานที่แห่งนี้มีกว่า 100 รายงาน เกี่ยวกับปรากฏการณ์ลี้ลับ ณ สุสานแห่งนี้ รายงานที่พบกันบ่อยครั้งมากที่สุด มักเกี่ยวข้องกับลูกบอลเรืองแสงสีฟ้าทรงกลมขนาดเท่าลูกเบสบอลที่ล่องลอยอยู่เหนือหลุมศพ และเรื่องเล่าของ วิญญาณสัตว์ประหลาดสองหัวที่ปรากฏกายแบบสุ่มในหลายพื้นที่บริเวณนั้น
บนเส้นทางลูกรังที่ทอดยาวไปยังสุสาน ยังมีปริศนา “บ้านไร่ผีสิง” ที่มักจะปรากฏขึ้น แล้วหายไป โดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็นช่วงกลางวันหรือกลางคืน แต่ที่แน่ๆคือ ไม่เคยมีรายงานว่ามีบ้านตั้งอยู่ในบริเวณถนนสายนี้มาก่อน อย่างไรก็ตามรูปพรรณของบ้านจากคำบอกเล่าของผู้ที่ได้พบเห็นมักมีลักษณะแตกต่างกัน บางคนอ้างว่า มันเป็นบ้านฟาร์มเก่าๆ สองชั้นสีขาว มีระเบียงไม้หน้าบ้าน และมีแสงเผาไหม้ที่อบอุ่นลอดผ่านหน้าต่างออกมา มีเรื่องเล่าลือว่า มีคนอยากรู้อยากเห็นหลายรายเข้าไปในบ้านหลังนี้ และแน่นอนว่าพวกเขาเหล่านั้น ไม่เคยได้กลับออกมาอีกเลย
คำบอกเล่าเดียวที่เหมือนกันจากปากของพยานที่ได้เห็นบ้านหลังนี้คือ เมื่อพยายามเข้าใกล้ บ้านหลังนี้จะค่อยๆเล็กลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหายลับไปในป่า ไม่เคยมีใครเคยพบบ้านหลังนี้อยู่ ณ จุดเดิม มันเปลี่ยนสถานที่ปรากฏตัวไปเรื่อยตั้งแต่ริมถนนสายใหม่ ไปจนถึงบนสุสานอีกด้วย! นอกจากนี้ ถนนเส้นนี้ยังมีเรื่องราวแปลกๆ ของ “ผีไฟ” ที่คนส่วนใหญ่มักพบเป็นแสงสีแดง คล้ายกับสัญญาณไฟจราจร ที่บินอย่างรวดเร็วลัดเลาะไปตามแนวชายป่าริมสุสานอีกด้วย
ปลายปี 1970 ในคืนหนึ่ง เจ้าหน้าที่ป่าไม้สองคน ที่กำลังลาดตระเวนอยู่ใกล้กับสุสานแห่งนี้ พวกเขาเล่าว่า ไฟหน้ารถที่ส่องสว่างได้เผยให้พวกเขาเห็น “ม้า” โผล่ออกมาจากทะเลสาบที่อยู่บริเวณด้านหลังของสุสาน ม้าตัวนั้นกำลังลากอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนกับคันไถ โดยมีชาวนาคนหนึ่งคอยควบคุมอยู่ด้านหลัง สองร่างนั้น เดินตัดผ่านหน้ารถก่อนจะหายเข้าไปในป่าอีกฟากหนึ่ง เจ้าหน้าที่ทั้งสองต่างจ้องมองใบหน้ากันไปมาเพื่อให้แน่ใจว่าเห็นในสิ่งเดียวกัน แต่ไม่มีใครกล้าเขียนรายงานเรื่องนี้ส่งให้กับทางผู้บังคับบัญชา เพราะกลัวว่าจะถูกล้อเลียนจากเพื่อนร่วมงาน หลังจากนั้น ก็มีรายงานว่ามีคนพบเห็นชายชราและม้าอีกหลายครั้ง
เหตุการณ์ประหลาดนี้ มีเรื่องเล่าที่น่าจะมีความเกี่ยวพันกันกับเหตุการณ์อุบัติเหตุ ในปี 1870 เมื่อชาวไร่คนหนึ่งที่ไถนาอยู่ริมทะเลสาบ แล้วอยู่ๆ ม้าคู่ใจเกิดตกใจอะไรบางอย่างอย่างกะทันหัน จนวิ่งเตลิดลงไปในทะเลสาบ ชาวนาผู้โชคร้ายถูกเชือกของคันไถพันแน่นจนแกะไม่ออก หลังจากดิ้นรนอยู่นาน ในที่สุดเขาก็ ถูกน้ำหนักของม้า และคันไถ ถ่วงทับจนกระทั่งจมน้ำตายไปในที่สุด ชื่อกันว่ารอยไถ และคราบเลือดที่ทอดยาวจากเหตุการณ์นั้น ยังคงทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้เห็นจนถึงปัจจุบัน และอาจจะเป็นต้นกำเนิดของวิญญาณชายชรา กับม้า ที่มีผู้พบเห็นอยู่บ่อยครั้ง
ปี 1975 ผู้ชื่นชอบเรื่องผี จากรัฐทางตอนใต้ ได้เดินทางมาเยี่ยมชมสุสานแห่งนี้ ในขณะที่เดินเข้าใกล้สุสานในช่วงบ่าย กล้องรุ่น Kodak SX-70 ในมือของเขา เริ่มถ่ายภาพด้วยตัวเอง โดยไม่ได้กดชัตเตอร์ หลายภาพที่ถูกถ่าย ดูเหมือนหมอกสีขาว บางส่วนของหมอกเหล่านั้นดูคล้ายมนุษย์ เมื่อส่งกล้องกลับไปเคลมประกัน ช่างการันตีว่าอุปกรณ์ทุกอย่างอยู่ในสภาพสมบูรณ์ และสามารถใช้งานได้อย่างเป็นปกติทุกอย่าง
ปี 1997 แม้แต่ถนนสายใหม่บริเวณใกล้ๆสุสาน Bachelor's Grove เอง ก็มีเรื่องเล่าลือสุดสยองไม่แพ้กัน ถึงเรื่องราวของวิญญาณที่มักปรากฏกายอยู่บนถนน ในรูปแบบของ “รถผีสิง” มีหลายคนเคยเห็นรถคันนี้ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา คนที่สัญจรในถนนมุ่งหน้าสู่ตะวันตกบนถนนสายนี้ในตอนกลางคืน มักมองเห็นไฟท้ายของรถคันด้านหน้า แต่โดยที่ไม่มีสัญญาณบอกกล่าวว่าจะหยุดหรือเลี้ยว อยู่ๆ รถคันนั้นก็จะพุ่งออกจากถนนทันที ก่อนที่จะหายไป ยังมีอีกหลายรายงานว่า มีคนพบรถผีสิงวิ่งตามมาด้านหลัง แล้วอยู่ๆ มันก็หายไปเสียดื้อๆ ราวกับหมอกควัน สำหรับปรากฏการณ์รถผีสิงที่เกิดขึ้น ยังไม่มีผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์รายใดมราสามาถรถหาหลักฐานมารองรับได้ว่า มันเกิดขึ้นจากสาเหตุใดกันแน่
ปี 1984 มีพยานเล่าว่า ได้เห็นวิญญาณจำนวนมากแต่งตัวคล้ายกับบาทหลวงอยู่เต็มสุสาน หลายคนเห็นคณะวิญญาณเหล่านี้ เดินข้ามถนนของสุสานจากชายป่าไปยังสุสาน นอกจากนี้ แครอล วิลเลียมส์ กับแฟนสาวของเขา ได้ยินเสียงแปลกๆในพุ่มไม้ ที่ฟังดูคล้ายกับมีอะไรบางอย่างกำลังเดินตามพวกเขามาใกล้ๆ นอกจากนี้ พวกเขายังได้เห็นแสงแปลกๆสีขาว ปรากฏตัวอยู่ใกล้กับหลุมศพของ “แฮมิงตัน”
ปี 1990 มีผู้พบเห็นสุนัขสีดำ ยืนอยู่ที่ประตูทางเข้าของสุสาน แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ มันก็จะหายไปทันที
White Madonna แห่ง Bachelor's Grove
"ผู้หญิงสีขาว"
“ผู้หญิงสีขาว” หรือ “White Madonna” เป็นหนึ่งในปรากฏการณ์วิญญาณที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในสุสานแห่งนี้ ที่มีคนจำนวนมากเห็นเธอเดินไปมารอบๆ พร้อมกับร้องไห้ โดยอุ้มทารกเอาไว้ในอ้อมแขน ในคืนพระจันทร์เต็มดวง
ในปี 1991 สมาชิกวิจัยวิญญาณ ในขณะทำการพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับเรื่องลี้ลับที่เกิดขึ้นด้วยอุปกรณ์ต่างๆ พวกเขาพบว่ามีสองจุดในสุสานที่มีค่าพลังงานมากกว่าจุดอื่น หลังจากนั้น พวกเขาสามารถถ่ายภาพของผู้หญิงสีขาว ที่มีร่างกายดูโปร่งใสนั่งอยู่บนหลุมศพ ด้วยกล้องอิมฟาเรดความเร็วสูงแต่ในขณะที่ทำการถ่ายภาพนี้ พวกเขาไม่ได้เห็นอะไรไปมากกว่าเพียงหลุมศพที่ว่างเปล่าเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ภาพของผู้หญิงสีขาว ได้กลายมาเป็นหนึ่งในหลักฐานภาพถ่ายติดวิญญาณที่สำคัญมากที่สุดใบหนึ่งของโลกเลยทีเดียว
ตามตำนานเชื่อว่า ผู้หญิงสีขาว ที่ปรากฏตัวในภาพ เป็นวิญญาณของผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกฝังเอาไว้ ณ สุสานแห่งนี้ ถัดจากหลุมฝังศพลูกน้อยของเธอ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีหลักฐานสนับสนุนแน่ชัดว่าเธอเป็นใครกันแน่ แต่หลายคนเชื่อว่าชื่อของเธอคือ “มิสซิส โรเจอร์” แต่ในปี 2004 มีคนถ่ายภาพของเธอได้อีก ในขณะที่ยืนอยู่ท่ามกลางต้นไม้หน้าป้ายหลุมศพของ “ดอร่า นิวแมน” หลายคนจึงหวังว่านั่นอาจจะเป็นชื่อที่แท้จริงของเธอ
ในปี 2012 สุสานร้าง Bachelor's Grove ได้กลายมาเป็นหนึ่งในแหล่งล่าท้าผี ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ดึงดูดให้นักล่าท้าผี และบรรดาเหล่าคนที่ชื่นชอบเรื่องสยองขวัญต่างพากันเดินทางมาเยือนสถานที่แห่งนี้เป็นจำนวนมาก
สมาคมวิจัยเรื่องลี้ลับ ได้รับการร้องขอให้เข้ามาทำการตรวจสอบสถานที่แห่งนี้ เพื่อค้นหาความจริงว่ามีพลังงานผิดธรรมชาติบางอย่างสิงสถิตอยู่จริงหรือไม่ ระหว่างปี 1980 – 1990 พวกเขาได้ทำการทดสอบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นถ่ายภาพ บันทึกวีดิโอภาพยนตร์ ทั้งในแบบขาวดำ สีตามปกติ และอิมฟาเรด แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ แต่อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเหล่านักวิจัยจะพบว่า มีปรากฏการณ์เสียงที่รบกวนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เกิดขึ้นในสุสานแห่งนี้บ่อยครั้ง
ระหว่างปี 2006-2007 มีการพยายามค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังของความอาถรรพ์อีกครั้ง โดยการใช้อุปกรณ์ที่ทันสมัยมากขึ้นกว่าเดิม หลังการบันทึกภาพด้วยอุปกรณ์หลากหลายรูปแบบ มีการพบว่าภาพดิจิตอลที่บันทึกไว้ถูกบิดเบี้ยว และมีเสียงที่ถูกเทปบันทึกเอาไวได้ เป็นคำพูดว่า “สวัสดี แบล็กแมน” รวมไปถึงเสียงที่ฟังดูคล้ายจะพูดว่า “มินน่า.. มินน่า” ที่แผ่วเบากลมกลืนไปกับสายลม ที่ถูกบันทึกได้บริเวณหลุมศพที่สลักชื่อว่า “มินน่า”
สุสาน Bachelor's Grove แม้จะขึ้นชื่อในการเป็นหนึ่งในสถานที่เฮี้ยนที่สุดของสหรัฐ (นักล่าท้าผีหลายคนกล่าวว่า มันเป็นสุสานที่เฮี้ยนที่สุดในโลกต่างหาก) แต่อย่างไรก็ตาม สุสานก็ยังควรเป็นสถานที่เงียบสงบ ที่สมควรควรถูกปฏิบัติด้วยความเคารพ เพื่อให้เหล่าผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วที่ทอดร่างอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ ได้รับการพักผ่อนในวาระสุดท้าย...
เอ็มโบย ทูอิ (Mbói Tu'i) งูนกแก้ว ผู้พิทักษ์สัตว์น้ำแห่งประเทศปารากวัย