“ควายธนู” (วัวธนู) เป็นเครื่องรางตามความเชื่อด้านไสยศาสตร์ที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างช้านาน ทำให้ความเชื่อเรื่องนี้มีอยู่ในทุกภาคของประเทศไทย เชื่อว่าควายธนูเป็นเหมือนกับเครื่องรากที่สามารถพกพาติดตัว เป็นสัตว์อาคมที่สามารถใช้เฝ้าบ้าน หรือไร่นา ใช้ทำน้ำมนต์ประพรมสิ่งของให้ขายดี และยังใช้งานได้อีกมากมายตามประสงค์ของผู้เป็นนาย มีฤทธิ์ถึงขั้นทำร้าย สั่งทำร้ายสังหารคู่อริของผู้เป็นนาย แต่อาจใช้ไม่ได้ผลกับคนที่มีคาถาอาคมแข็งแกร่งมากกว่า ทำให้ควายธนูจึงกลายมาเป็นหนึ่งในของขลังสุดลี้ลับ ที่ทำให้คนในสมัยก่อนหวาดกลัวกันอย่างมากเลยทีเดียว ในขณะเดียวกันก็เชื่อว่าควายธนูเป็นสิ่งปลุกเสกที่มีฤทธิ์หากมาเพียงพอก็จะสามารถสยบ “เสือสมิง” ได้เลยทีเดียว
การถือกำเนิดความเชื่อเรื่องควายธนู
ภาพจาก : FB หลวงปู่พา อธิวโร - พระครูวรกิจจานุรักษ์
ในสมัยโบราณ “วิชาธนู” เป็นศาสตร์ในการยิงธนูและทั้งแบบธนูมือ รวมไปถึง “ธนูเวท” แล้วถูกนำมาหลอมรวมเข้ากับโคกระบือเข้ากับธนุรเวท ถ้าหากปั้นรูปให้เป็นควายก็จะเรียกว่า “ควายธนู” หากปั้นรูปให้เป็นวัวก็จะเรียกว่า “วัวธนู” จากต้นกำเนิดในข้างตันทำให้เชื่อกันว่าควายธนู เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการผสมผสานความเชื่อระหว่าง “ไสยศาสตร์” กับ “สังคมเกษตรกรรม” เนื่องจากควายในสมัยก่อนเป็นสัตว์ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขของชาวนาจนกลายมาเป็นความผูกพันอันลึกซึ้ง และจัดให้ควายธนูเป็นผี หรือวิญญาณประเภทหนึ่ง
ยุคแรกควายธนูนิยมนำไม้ไผ่มาสานเป็นโครงควาย พร้อมกับเป่ามนต์คาถากำกับกลายเป็นความธนู ในยุคต่อมาใช้การเสกลูกธนูมาเป่าใส่คาถาจนวิ่งเร็วเหมือนลูกธนู ทำให้เป็นที่มาของคำว่า “ควายธนู” หรือเป็นควายที่มีเขาโค้งยาวสวยงามดุจคันศร ก็เป็นอีกที่มาหนึ่งของคำว่าควายธนูเช่นกัน
การปลุกเสกควายธนู
โดยพื้นฐานแล้ว ควายธนู คือ “หุ่นพยนต์” รูปแบบหนึ่ง นิยมขึ้นรูปเป็นสัตว์สี่เท้าที่มีร่างกายกำยำแข็งแรงอย่างเช่น ควาย วัว โคถึก และกระทิงโทน ในบางครั้งอาจมีการขึ้นรูปร่างเป็นมนุษย์เช่นกัน โดยความธนู สามารถสร้างขึ้นมาจากหลายวัสดุ แต่ที่ได้รับความนิยมมีดังต่อไปนี้
ควายธนูทอง (ทองแดง)
วัสดุที่นำมาใช้สร้างเป็นโลหะอาถรรพ์ เช่น ตะปูตรึงโลงศพ เหล็กขนันผีตายทั้งกลม งั่ง (ยาซัดทอง) ทองแดงเถื่อน ดีบุก ทองขวานฟ้า เงินปากผี ทองยอดนพศูล นำมาหล่อหลอมเข้าด้วยกันแล้วลงอักขระตามตำรา เป็นควายธนูชั้นที่หนึ่งที่มีฤทธิ์มากที่สุด
ควายธนูขี้ผึ้ง
ควายธนูที่มีฤทธิ์รองลงมาอยู่ในอันดับที่สอง นิยมทำจากขี้ผึ้งปิดหน้าผีตายโหง ผีตายท้องกลม ผสมด้วยผมผีพราย ผมผีที่จมน้ำตาย ตานกกด ตาแร้ง ตาชะมด กำลังวัวเถลิง นำมาเผาไฟไหม้แล้วบดเป็นผงผสมกเข้ากับเถ้าฟอนเจ็ดป่าช้าแล้วนำไปคลุกกับขี้ผึ้งปั้นขึ้นรูปเป็นควายธนู แล้วเสกด้วยอาการ 32 บางตำราให้ปั้นคนเลี้ยงเพิ่มเข้าไปด้วยหนึ่งคน
ควายธนู ไม้ไผ่สาน
ควายธนูชั้นสามที่นิยมปลุกเสกขึ้นมาใช้ชั่วคราวในยามฉุกเฉิน โดยการใช้ไม้ไผ่ที่ขึ้นคร่อมขวางทาง กลั้นหายใจตัด พร้อมกับท่อง “นะโมตัสสะ” ให้ขาดในครั้งเดียว แล้วนำมาสานให้เป็นรูปหัวความ
ภาพจาก : web-pra.com
ควายธนูขี้ครั่น
ควายธนูสายอาถรรพ์ที่มีวิธีการสร้างที่ค่อนข้างยุ่งยาก เริ่มจากการนำไม้มาสร้างเป็นโครง โดยต้องเป็นไม้ที่สัปเหร่อใช้เขี่ย แทง หรือพลิกศพในขณะที่ทำการเผา โดยเฉพาะไม้ที่ใช้กับศพที่เผาในวันอังคารและวันศุกร์ที่เชื่อว่ามีความเฮี้ยนเป็นอย่างมาก แล้วนำครั่นที่เกาะอยู่ตามต้นพุทธราที่มีปลายกิ่งชี้ไปทางทิศตะวันออกมาแปะติดกับโครง จากนั้นนำเอาทองคำเปลวที่ปิดหน้าศพคนตานมาปิดทับครั่นอีกชั้นหนึ่ง นำตะกรุดมาเสียบระหว่างอกกับคอแล้วนำครั่นมาปิดทับอีกชั้นให้ทั่ว ปิดท้ายด้วยการเสกคาถากำกับควายธนู
ควายธนูดิน
ทำขึ้นมาจากดินปั้น โดยนำดินเจ็ดป่าช้า ดินปากหลุมศพ ดินใต้โลงศพ ขี้เถ้ากระดูกผีตายโหง ตายพราย (จมน้ำตาย) ดินเจ็ดบ่อน ดินเจ็ดตลาด มาปั้น หรือนำไปเผาไฟขึ้นรูปเป็นควายธนู
นอกจากนี้ยังมีวัสดุอื่นๆอีก เช่น สารโลหะอาถรรพ์ เช่น ตะปูโลงศพเจ็ดป่าช้า, เหล็กขนันผีพราย และเหล็กยอดเจดีย์ เป็นต้น วัสดุเหล่านี้ถูกนำมาปั้น หรือมาหลอมรวมกันแล้วหล่อขึ้นมาเป็นควาย บางครั้งมีการนำเอาโครงไม้ผ่าสานให้เป็นโครร่างของความจากนั้นนำเอา “ครั่ง” จากต้นพุทรามาพอกจนทั่วตามความประสงค์ของผู้ปลุกเสก เมื่อได้รูปปั้นของความขนาดพอเหมาะมาแล้วจะนำไปทำการปลุกเสกตามพิธีกรรมเพื่อให้บังเกิดเป็นควายธนูขึ้นมา
คาถาที่ใช้ในการปลุกเสกควายธนู
สำหรับคาถาที่ใช้ในการปลุกเสกควายธนูนั้น มักมีการบริกรรมคาถากำกับ ดังต่อไปนี้
“โอมปู่เจ้าสมิงไพร ปู่เจ้ากำแหงให้กูมาทำควาย เชิญพรอีศวรมาเป็นตาซ้าย เชิญพระอาทิตย์มาเป็นตาขวา เชิญพระนารายณ์มาเป็นเขา เชิญพระอินทร์เจ้าเข้ามาเป็นหาง เชิญพระพุทธคีเนตร์ พระพุทธคีนายมาเป็นสีข้างทั้งสอง เชิญพระจัตตุโลกบาลทั้งสี่มาเป็นสี่เท้า เชิญฝูงผีทั้งหลายเข้ามาเป็นไส้พุง นะมะสะตีติ”
สำหรับคาถาเสกควายธนูอีกบทหนึ่งกล่าวไว้ ดังนี้
“อมอุดเทตะยัง สะนหิ อมงัว ทะนูลูกแม่เฒ่ารักษาเจ้าให้ดี ผีสางสะเด็ดหนี ขวักคว้าน อมโคโนมหาโคโน อมโคโส มหาโคโส สันทะ สินทิ จันทิหิ อมมหาหิริโอตัมปปะ สัมปัญโน นะภาเวนุ นุเวภานะ เวภานะนุ ภานะนุเว นะภาวนุ สัพปุริสา โลเก เทวะทามาติ วัดจะเร”
นอกจากคาถาที่ใช้ในการปลุกเสกความธนูแล้ว บนร่างกายของควายธนู วัวธนู ก็จำเป็นที่จะต้องทำการสลักยันต์ลงไปด้วย ดังต่อไปนี้
ยันต์กำกับบนหน้าผากของควายธนู
“อุณาโลม ศูนย์ จันทร์ องการ”
ยันต์กำกับข้างลำตัวควายธนู
ยันต์พุฒซ้อน “นะโมพุทธายะ”
ยันต์กำกับขาทั้งสี่ข้างของควายธนู
“นะมะพะทะ” (ขาทั้งสี่ข้าง)
ประเภทของควายธนู
ควายธนูขนาดบูชา
ควายธนูขนาดเท่ากับรูปปั้นขนาดพอประมาณ มีจุดเด่นในเรื่องของการช่วยเฝ้าบ้านเรือน ช่วยปกป้องบ้านเรือนและผู้อยู่อาศัยให้ปลอดภัยจากอันตราย ส่งเสริมการค้าขายให้ดียิ่งขึ้น และไม่มีผลกระทบกับกุมารทองทำให้สามารถวางเอาไว้ในหิ้งเดียวกันได้อีกด้วย
ควายธรูขนาดพกพา : ภาพจาก uauction3.uamulet.com
ควายธนูขนาดพกพา
ควายธนูขนาดเล็กที่เหมาะกับการพกพาไปนอกสถานที่ พร้อมกับช่วยในการปกป้องคุ้มครองภัยจากมนต์ดำ คุณไสย ของเสนียดจังไร รวมไปถึงปกป้องเจ้าของจากภูตผีปีศาจที่จะเข้ามาทำอันตรายผู้เป็นเจ้าของ
การพาควายธนูเขาบ้านครั้งแรก
ในการพาควายธนูเข้าบ้านในครั้งแรกมีหลายขั้นตอนที่จำเป็นอย่างมาก เพื่อให้เจ้าที่เจ้าทางเปิดทางให้นำควายธนูเข้าบ้านได้อย่างสะดวก ดังต่อไปนี้
o จุดธูปบอกกล่าวพระบนหิ้งและเจ้าที่เจ้าทาง เพื่อเป็นการขออนุญาตให้นำควายธนูเข้ามาช่วยรักษาบ้าน ทรัพย์สิน และป้องกันภัยจากภูตผี มนต์ดำ
o เมื่อนำควายธนูเข้ามาในบ้านในวันแรก ให้ทำการตั้งชื่อให้ จุดธูป 4 ดอก แนะนำความธนูให้รู้จักกับควายธนูตัวเดิมก่อนหน้า หรือกุมารทอง เพื่อให้ช่วยกันดูแลบ้านเรือน ไม่ทะเลาะขัดแย้งกัน
การเลี้ยงดูเซ่นไหว้ควายธนู
ควายธนูสายเทพ
ควายธนู เป็นควายธนูที่ผู้สร้างได้ทำการปลุกเสกโดยใช้วัตถุดิบที่ปลอดอาถรรพ์ ทำให้ไม่จำเป็นที่จะต้องทำการเซ่นไหว้ด้วยหญ้าหรือฟาง เพราะมักทำการปลุกเสกฟางหล่อติดมากับรูปปั้นควายธนูให้เลย แต่ให้ถวายเซ่นไหว้ด้วยน้ำเปล่า และหมั่นอุทิศบุญกุศลให้กับควายธนู หรือให้กับเทวดาผู้มารักษา ให้ครูผู้สร้างปลุกเสก และครูอาจารย์ที่เจ้าของต้นตำรับวิชาวัวธนู เพื่อให้ควายธนูสามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
ควายธนูสายอาถรรพ์
หลังจากที่ทำพิธีปลุกเสกควายธนูเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต้องทำการเลี้ยงดูควายธนูเอาไว้อย่างเหมาะสม ด้วยการเซ่นไหว้ด้วยหญ้าและน้ำอย่างสม่ำเสมออย่าให้ขาด และต้องเปลี่ยนให้ออกไปท่องเที่ยว ห้ามหลงลืมเป็นอันขาดไม่อย่างนั้นควายธนูจะหวนกลับคืนมาทำร้ายเจ้าของ
คาถากำกับควายธนูให้เฝ้าบ้านเฝ้าเรือน
การขอให้ควายธนูช่วยเฝ้าบ้าน เฝ้าเรือนให้ปลอดภัยจากภูตผีปีศาจ และไสยศาสตร์มนต์ดำ จำเป็นที่จะต้องกำหนดขอบเขตให้ควายธนูเฝ้าระวังอย่างชัดเจน ด้วยการเสกคาถาดังต่อไปนี้
“นะภาเวนะ นะภาเวนุ เวทาสากุ กุสาทาเว ทายัสสะ ตะทัสา ทิกุกุ ทิสาสา กุตะกุ ภูตะกุ โคสวาหะ โสถิทเต โหตุเต ชัยยะมังคลานิ นุเวภานะ นุเวภานะ เวถานะน เวถานะนุ ภานะนุเว ภานะนุเว นะนุเวภา นะนุเวภา นะเภาเวนุ นะภาเวนะ”
เมื่อทำการบริกรรมคาถาเสร็จสิ้นแล้ว ให้ทำการรดน้ำบนหลังของควายธนูพร้อมกับรองน้ำเหล่านั้นเอาไว้ แล้วนำไปใช้รดรอบเขตบ้าน เพื่อเป็นการกำหนดขอบเขตในการเฝ้าระวังภัยให้กับควายธนู
ตำนานการต่อสู้ระหว่างควายธนูกับเสือสมิง
ตำนานการต่อสู้ระหว่างควายธนู กับเสือสมิงครั้งที่ดุเดือดมากที่สุด คือ เรื่องเล่าของพระธุดงค์รูปหนึ่งที่ได้เดินทางอยู่กลางป่าใหญ่ ระหว่างทางท่านได้พบกับชรานุ่มขาวห่มขาวคนหนึ่งที่ขอติดตามไปด้วยความห่วงใย ในระหว่างเดินทางชายคนนั้นได้ตัดไม้ไผ่มาด้วยกำใหญ่ที่ขวางทางแล้วนำมาสานบางอย่างแล้วเก็บเอาไว้ในย่าม จนกระทั่งดวงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า ทั้งสองเดินทางมาถึงอุโบสถร้างกลางป่า แล้วพบกับพระภิกษุ 4 รูป ชุมนุมกันอยู่บริเวณหลังอุโบสถ ที่มีศาลาเล็กผุพังทรุดโทรม พระทั้ง 4 รูป ไม่ได้ทักทายทั้งสองแต่กลับมองด้วยสายตาเหมือนกับสัตว์ร้าย ชายชราเห็นดังนั้นจึงรีบพาพระธุดงค์เข้าไปในอุโบสถปิดประตูลงกลอนทั้งหน้าต่าง แล้วหยิบเอาเทียนขี้ผึ้งออกมาสองเล่ม ธูปสามดอก ทำการจุดบูชาพระรัตนตรัย ในขณะเดียวกันพระธุดงค์ก็ได้ทำวัตรเย็นเช่นกัน
เมื่อเสร็จสิ้นการทำวัตรเย็น ชายชราก็นั่งดอกสานไม้ไผ่เรื่อยๆ จนกระทั่งตะวันลับขอบฟ้าก็มีเสียงของเสือคำรามกึกก้อง และมีกลิ่นสาบลอยตามลมมา พร้อมกับเสียงหายใจดังฟืดฟาดตะกุยประตูอุโบสถ ฟังจากเสียงต้องมีเสือจำนวนไม่ต่ำกว่า 3-4 ตัว ชายชราลุกเดินไปที่ประตูของอุโบสถแล้วทำการสอดไม้ไผ่ที่สานออกไปตามรูช่องดาลจนหมด หลังจากนั้นก็ได้มีเสียงเหมือนกับสัตว์ร้ายสู้กันอยู่ข้างนอกอย่างรุนแรงจนเสียงเงียบไป เมื่อรุ่งเช้ามาเยือนแล้วประตูอุโบสถถูกเปิดออกปรากฏร่างเสือโคร่ง 4 ตัว ขนาดประมาณ 6 ศอก นอนตายอยู่โดยรอบ ไส้ไหลทะลักออกมา ชายชราได้บอกกับพระธุดงค์ว่าที่จริงแล้วพระภิกษุที่พบเมื่อวานทั้ง 4 รูป เป็นเสือสมิงจำแลงกายมา สังเกตเห็นที่คอว่ามีผ้าเหลืองพันอยู่ทำให้ชายชรารีบสานไม้ไผ่ปลุกเสกเป็นควายธนูก่อนที่จะส่งออกไปต่อสู้กับเสือสมิงจนกระทั่งสิ้นฤทธิ์ไปในที่สุดนั่นเอง...
จากข้อมูลในเบื้องต้นจะเห็นได้ว่าการสร้างความธนูสักตัวมาเป็นข้ารับใช้ที่แสนซื่อสัตย์ในการดูแลบ้านเรือนไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดาย ต้องใช้ความพยายามในการสรรหาวัตถุดิบจำนวนมากมารวมกันกว่าที่จะก่อกำเนิดเป็นควายธนูสักตัว แต่ถ้านับในเรื่องของผลลัพธ์ที่ได้ในการปกป้องบ้านเรือน และคนในครอบครัวจากอันตรายนานัปการ ก็นับว่าการมีความธนูสักตัวเป็นหนึ่งในความเชื่อที่น่าสนใจ ที่ยังไม่เคยเลือนหายไปจากสังคมไทยอย่างแน่นอน...