อาถรรพ์กระจกเงา กับความเชื่อเรื่องภูตผีและความตายจากหลากหลายวัฒนธรรมทั่วโลก
“กระจกเงา” เป็นหนึ่งในเครื่องใช้ในครัวเรือนที่เชื่อว่าทุกบ้านจะต้องมี สิ่งที่แตกต่างกันออกไปของบ้านแต่ละหลัง อาจจะเป็นเพียงเรื่องขนาดของมันเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม กระจกนั้นมีความสัมพันธ์กับความเชื่อในเรื่องของโชคลาง ไสยศาสตร์และภูตผีมาอย่างยาวนาน จากหลากหลายวัฒนธรรมทั่วโลก ส่วนความเชื่อเหล่านั้นจะมีประเด็นอะไรที่น่าสนใจ ชวนให้ขนลุกแต่ไหน!? มาลองติดตามพร้อมกันผ่านบทความชิ้นนี้กันเลย
กระจกเงา กับความเชื่อของชาวโรมัน
ชาวโรมันมีความเชื่อที่น่าสนใจว่า กระจกเงามีความสามารถในการดักจับวิญญาณ และยังมอบความโชคร้ายให้กับผู้เป็นเจ้าของได้ ถ้าหากกระจกเงาไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมก็จะนำพาเรื่องราวสยองขวัญมาให้อย่างไม่ทันรู้ตัว
นอกจากนี้ ยังเชื่ออีกว่าถ้าหากเหยียบกระจกจนแตกหรือร้าว ก็จะได้รับคำสาปแห่งความโชคร้ายเป็นระยะเวลานานถึง 7 ปี เนื่องจากกระจกเงาไม่ได้เพียงแค่สะท้อนรูปลักษณ์ทางกายเท่านั้น แต่มันยังทำการสะท้อนจิตวิญญาณของผู้คนด้วยเช่นกัน ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องรอวิญญาณใหม่ที่ถือกำเนิดทุก 7 ปี เพื่อที่จะมาช่วยขจัดคำสาปแช่งเหล่านั้นให้หายไป
กระจกเงา กับความเชื่อในประเทศจีน
ในวัฒนธรรมจีน มีความเชื่อว่าถ้าหากทำการแบกศพผ่านกระจก พวกมันก็จะดูดซับวิญญาณและมีผีสิง หลังจากนั้นวิญญาณที่ถูกขังอยู่ในกระจกก็จะไม่มีทางประสบกับความสุขและเปลี่ยนมาเป็นวิญญาณแค้นที่คอยตามเล่นงานคนเป็นตลอดกาล
กระจกเงา กับความเชื่อในประเทศอินเดีย
ชาวอินเดียมีความเชื่อว่า ถ้าหากบุคคลที่รักเสียชีวิตในบ้านจะต้องทำการคลุมปิดกระจกเงาเอาไว้ เพื่อเป็นการป้องกันไม่วิญญาณใช้กระจกเงาเป็นประตูเดินผ่านระหว่างสองโลก เพราะในกรณีที่เลวร้ายวิญญาณอาจจะถูกขังอยู่ในกระจกเงาไปตลอดกาล
นอกจากนี้ การคลุมกระจกเงายังเป็นการช่วยปกป้องคนตายและคนเป็น เพราะเชื่ออีกว่าบ้านที่พึ่งเกิดโศกนาฎกรรมขึ้นนั้น เหมือนกับเป็นแม่เหล็กในการดึงดูดโชคร้ายและเหล่าปีศาจให้มาเยือน
กระจกเงา กับความเชื่อของชาวเยอรมันและดัตช์
ทั้งสองประเทศนี้ มีความเชื่อที่ชวนให้ขนลุกเกี่ยวกับกระจกเงา ถ้าหากใครก็ตามมองเห็นภาพสะท้อนในกระจกของตัวเองในตอนที่คนรักพึ่งเสียชีวิต ถือว่าเป็นลางบอกเหคุว่าคุณกำลังจะเป็นรายต่อไป แต่อาจจะไม่ได้เป็นในเวลาอันรวดเร็ว เพียงแต่เป็นการบอกว่าจะเป็นรายต่อไปเท่านั้น
ตำนานและนิทานสยองเกี่ยวกับกระจกเงา
ทั่วโลกมีตำนานและนิทานมากมายหลายเรื่องที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับกระจกผีสิง ตัวอย่างเช่น
เรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่นชอบการเก็บสะสมกระจกเงา จนกระทั่งวันหนึ่งเธอได้ซื้อกระจกขนาดใหญ่ที่สูงจนถึงเพดานจากร้านขายของเก่า
อย่างไรก็ตาม กระจกเงานั้นกลับเริ่มสร้างความโชคร้ายให้กับเธอและครอบครัว ทุกคนต่างพากันล้มป่วยอย่างไม่ทราบสาเหตุ รวมไปถึงเหล่าสัตว์เลี้ยงด้วย ทำให้เธอเริ่มจ้างร่างทรงมาที่บ้านและได้รับการแนะนำให้ทำการชำระล้างกระจกบานนั้น เมื่อกระจกถูกถอดออกจากบ้าน สมาชิกทุกคนที่ป่วยก็กลับมาหายดีอีกครั้ง
อีกเรื่องราวหนึ่งเกิดขึ้นในปี 2013 ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อ “โซติริส ชาร์แลมบูส” และ “โจเซฟ เบิร์ช” พบกระจกในถังขยะนอกบ้านของพวกเขาที่ยังมีสภาพดีอยู่ จึงได้ทำการเก็ยมันมาใช้ แต่หลังจากนั้นก็เริ่มมีเรื่องราวอาถรรพ์มากมายเกิดขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น โจเซฟสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกด้วยความรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย โจเซฟเต็มไปด้วยความรู้สึกหดหู่และเซื่องซึมเป็นอย่างมาก แต่ที่น่ากลัวที่สุดคือ เมื่อโซติริสทำการทาสีกรอบกระจกเงาใหม่ มันกลับทำให้โจเซฟเกิดความรู้สึกเจ็บปวด
เรื่องราวอันน่าพิศวงไม่ได้หยุดลงเพียงเท่านั้น โจเซฟอ้างว่าเขาเห็นบางสิ่งที่ดูเหมือนกับเงาเคลื่อนไหวอยู่ภายในกระจก มันน่าประหลาดมากที่มีอะไรบางอย่างสะท้อนอยู่ในกระจกถึงแม้ว่าจะไม่มีใครอยู่ในห้องก็ตาม หลังจากที่เรื่องแปลกมากมายเกิดขึ้น ในที่สุดพวกเขาจึงตัดสินใจได้ว่าควรกำจัดกระจกเงาปริศนานี้ทิ้งเสียให้รวดเร็วที่สุด
หลังจากนั้น พวกเขาก็ได้นำมันมาประมูลบน e-Bay พร้อมกับบอกเล่าเรื่องราวอันน่าสยดสยองของมันจนหมด แถมยังมีคนซื้อมันไปอีกด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาสามารถกำจัดมันออกไปจากชีวิตได้สำเร็จ ทุกอย่างก็ดูจะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม
ความเชื่อเรื่องกระจกเงากับคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์
ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการมองเห็นสิ่งแปลกปลอมแสนประหลาดในกระจกนั้น เกิดขึ้นมาจากสิ่งที่เรียกว่า “Caputo Effec” เป็นผลกระทบทางด้านจิตวิทยาที่ตอบสนองกับการกีดกันทางประสาทสัมผัสโดยจินตนาการของมนุษย์
อธิบายง่าย ๆ คือ ถ้าหากมีความจดจ่อว่าจะมีสิ่งน่ากลัวออกมาจากกระจก สมองก็จะทำการหลอกตัวเองว่าเหมือนกับมี “บางสิ่ง” อยู่ในกระจกจริง ๆ ด้วยการมองเห็นภาพสะท้อนของตัวเอง ที่เพิ่มเติมคุณสมบัติบางอย่างที่ชวนให้สยองขวัญมากยิ่งขึ้น
วิธีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวแบบเฉพาะหน้าคือ ถ้าหากคิดว่าเห็นผี วิญญาณหรือปีศาจในกระจกเงา ให้กะพริบตา 2-3 ครั้ง หายใจเข้าลึก ๆ หลังจากนั้นให้ลองมองใหม่อีกครั้ง เพราะสิ่งที่เห็นนั้น อาจจะเป็นเพียงแค่การเล่นตลกของสมองก็เป็นได้...