บ้านเอลฟิลด์ (Enfield House) บ้านนี้ผีโคตรเฮี้ยนสุด เฮี้ยนจนปราศจากเหตุผลแห่งประเทศอังกฤษ
บ้านเอลฟิลด์ (Enfield House) ตั้งอยู่ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ สถานที่แห่งนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในบ้านผีสิงที่เฮี้ยนที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ
เรื่องราวชวนหลอนในบ้านเอลฟิลด์เริ่มขึ้นในช่วงปี 1977 หลังจากที่ครอบครัวฮาเปอร์ (Harper) ที่ประกอบด้วยพ่อ แม่ ลูกชายสองคนและลูกสาวอีกสองคน เริ่มได้ยินเสียงเคาะและเสียงขูดขีดในบ้านที่ไม่สามารถอธิบายได้ในตอนเย็นวันหนึ่ง พวกเขาจึงได้โทรหาตำรวจเพื่อให้ช่วยตรวจสอบหาที่มาของเสียง เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เดินทางมาที่บ้านเองก็ได้ยินเสียงดังกล่าวด้วยเช่นกัน แต่หลังจากที่เจ้าหน้าที่ทำการค้นหาในบ้านอย่างละเอียดกลับไม่พบสิ่งผิดปกติใด ๆ
รุ่งเขาวันต่อมา พวกเขากลับพบวัตถุขนาดเล็ก เช่น ลูกแก้ว บล็อกตัวต่อลอยขึ้นไปในอากาศเอง หลังจากนั้นเฟอร์นิเจอร์ก็เริ่มเคลื่อนตัวเอง สายลมเย็น ๆ พัดในบ้าน มีแอ่งน้ำตื้น ๆ เกิดขึ้นบนพื้น ไฟฟ้าติดแล้วดับไปเอง เป็นต้น ตอนนี้พวกเขาเริ่มตระหนักแล้วว่ามีวิญญาณชั่วร้ายกำลังก่อกวนบ้านหลังนี้อยู่
ครอบครัวฮาเปอร์ได้ไปขอให้บาทหลวงช่วยเหลือด้วยการอวยพรบ้านหลังนี้ แต่ดูเหมือนว่าพิธีกรรมจะไม่ประสบความสำเร็จเพราะปรากฏการณ์ผีหลอกวิญญาณหลอนก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่เหมือนเดิม พวกเขาจึงได้ไปขอให้ร่างทรงติดต่อกับวิญญาณเหล่านั้นเพื่อขอร้องให้หยุดทำการหลอกหลอน ถึงอย่างนั้นร่างทรงก็ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถทำการติดต่อกับวิญญาณเหล่านั้นได้
ไม่นานนักหลังจากนั้น เพื่อนบ้านของพวกเขาก็ได้โทรไปเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้กับนักข่าวฟัง นักข่าวและช่างภาพจึงได้ไปเยี่ยมเยือนบ้านหลังนี้แล้วปรากฏว่าถูกวัตถุบินได้พุ่งใส่เหมือนกับจงใจขว้างใส่เต็ม ๆ ยิ่งทำให้เหตุการณ์ประหลาดนี้โด่งดังมากยิ่งไปอีกถึงขนาดที่สมาคมวิจัยพลังจิต (SPR) เข้ามาทำการสืบสวนสิ่งที่เกิดขึ้น
ตอนแรกทางสมาคมส่งเด็กฝึกงานที่ไม่มีประสบการณ์ไปยังบ้านเอลฟิลด์ก่อน แต่เมื่อเขาถูกขว้างด้วยสิ่งของบินได้ปริศนาทางสมาคมจึงได้ส่งนักสืบและช่างภาพมากประสบการณ์ไปเพิ่ม นักสืบทั้งสามคนใช้เวลานานกว่าหนึ่งปีในการค้นหาความจริงและในช่วงเวลานี้พวกเขาสามารถบันทึกเหตุการณ์ผิดปกติได้มากสองพันครั้ง เช่น ลูกแก้วที่บินบนอากาศแต่กลับไม่กลิ้งบนพื้น หนังสือที่สามารถเปลี่ยนทิศทางได้แบบ 90 องศา ขณะบินอยู่ในอากาศ เฟอร์นิเจอร์หนัก ๆ ที่เคลื่อนไหวเองขณะที่พวกเขาเฝ้าดูอยู่ เป็นต้น
พวกเขาพยายามที่จะบันทึกหลักฐานต่าง ๆ เพิ่มเติมด้วยการถ่ายภาพและเครื่องบันทึกเทปแต่ก็ไม่สำเร็จ ดูเหมือนว่าเหตุการณ์แปลก ๆ จะเกิดขึ้นเฉพาะในตอนที่พวกเขาปิดมันอยู่เท่านั้น หรือบางทีอุปกรณ์อาจจะมีการทำงานที่ผิดพลาดในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมก็เป็นได้
พวกเขาสันนิษฐานว่าเด็ก ๆ อาจกำลังเล่นตลกกับครอบครัวนี้จึงได้มีการเฝ้าติดตามลูก ๆ ของครอบครัวฮาร์เปอร์อย่างใกล้ชิดและทดลองให้เด็ก ๆ ออกไปที่อื่น อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเด็ก ๆ จะไม่อยู่ในบ้านก็ยังคงมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น แถมพวกเขายังไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันได้ว่าเด็ก ๆ เป็นผู้ลงมืออีกด้วย ซึ่งพวกเขาเชื่อว่า “เจเน็ต” วัย 11 ขวบ น่าจะเป็นคนที่ทำเรื่องทั้งหมดขึ้นเพราะปรากฏการณ์ทั้งหมดมักเกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวเธอ พวกเขาจึงได้ทำการทดสอบด้วยการจับเธอเอาไว้ ถึงอย่างนั้นเรื่องแปลก ๆ ก็ยังคงเกิดขึ้น แถมเธอยังดูเหมือนจะถูกมือที่มองไม่เห็นตีและบีบร่างของเธออีกต่างหาก
นักสืบสวนเคยพยายามติดต่อกับคนตายและขอให้วิญญาณทำการเคาะในบ้านหนึ่งครั้งเมื่อตอบว่า “ใช่” และเคาะสองครั้งเพื่อตอบว่า “ไม่ใช่” แต่เมื่อพวกเขาถามว่าวิญญาณรู้หรือไม่ว่าตัวเองตายแล้ววัตถุต่าง ๆ ในบ้านก็เริ่มบินว่อนไปมาทั่วห้องอย่างรุนแรง กล่องอันหนึ่งฟาดเข้าที่ศีรษะของนักสืบในขณะที่กำลังเกิดความวุ่นวายขึ้น
หลังจากที่พยายามติดต่อสื่อสารกับผีอยู่นาน ในที่สุดเหล่านักสืบสวนก็ได้คำตอบที่เริ่มจะเป็นรูปธรรม วิญญาณให้คำตอบเกี่ยวกับเหตุการณ์แปลกประหลาดต่าง ๆ ถึงแม้ว่ามันจะฟังดูไม่ค่อยสมเหตุผลสักเท่าใดนัก ในขณะเดียวกันเจเน็ตก็ต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่รุนแรงมากขึ้น เธอถูกตีด้วยสิ่งของบ่อยครั้ง พบคำหยาบคายเขียนบนผนังด้วยมือที่มองไม่เห็นและในที่สุดผีดังกล่าวก็ดูเหมือนจะเข้าสิงสู่ร่างของเธอในบางครั้งจนทำให้สูญเสียการควบคุมร่างกาย พูดด้วยเสียงของผู้ชายในขณะที่อยู่เพียงลำพังหลังประตูที่ปิดอยู่
นักสืบเริ่มสงสัยอีกครั้งว่าเธออาจจะเป็นสาเหตุของการหลอกหลอนที่เกิดขึ้นทั้งหมด ซึ่งอาจมาจากปรากฏการณ์ทางจิตใจของเธอเองจึงได้ทำการส่งเธอไปยังโรงพยาบาลเพื่อทำการทดสอบ ปรากฏว่าในระหว่างนั้นวิญญาณกลับมุ่งเป้าไปยังน้องชายคนหนึ่งของเธอแทน มันบีบร่างของเขาครั้งแล้วครั้งเล่าจนทำให้นักสืบเชื่อว่าวิญญาณดังกล่าวแยกออกจากเจเน็ตแล้ว
หลังจากที่ทำการสืบสวนอย่างเจาะลึกเป็นเวลานานกว่าหนึ่งปี นักวิจัยกลับไม่สามารถหาคำตอบที่ชัดเจนเกี่ยวกับปรากฏการณ์แปลก ๆ เหล่านี้ได้ ในที่สุดพวกเขาก็ได้ยกเลิกโครงการวิจัยไป อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายปี 1978 กิจกรรมผีหลอกวิญญาณหลอนก็ได้ลดน้อยลงก่อนที่จะหยุดลงไปเองในที่สุด...
Aosagibi นกกระสาราตรี ที่วิวัฒนาการตัวเองจากสัตว์สู่ภูตผีที่โบยบินพร้อมเปล่งแสงสีฟ้าในยามค่ำคืน...