ผีหลังกลวง ผีป่าโบราณสุดหลอนของภาคใต้
“ผีหลังกลวง” หรือ “ผีสันหลัวหวะ” เป็นหนึ่งในภูตผีป่าที่ปรากฏตัวขึ้นในบริเวณภาคใต้ของประเทศไทย ตามพจนานุกรมภาษาถิ่นใต้ของวิทยาลัยครูสงขลา ได้ให้ความหมายของ “ผีหลังกลวง” เอาไว้ว่า เป็นผีชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ตามภูเขา บ้างเรียกว่า “ผีหลังสวน” เชื่อกันว่าผีหลังกลวงมักปรากฏตัวให้เห็นโดยมีลักษณะรูปร่างเหมือนกับคนทั่วไป แต่ยามเมื่อเดินสวนทางกันเมื่อไหร่เป็นอันต้องขนลุกชันทันที เพราะแผ่นหลังของผีหลังกลวงจะมีลักษณะกลวงโบ๋ จนสามารถมองเห็นกระดูกสันหลังกับอวัยวะภายในสดๆเต้นตุบตับ พร้อมกับมีหนอนขนาดเขื่อง ผึ้ง และกิ้งกือ เกาะอยู่ภายในเต็มไปหมด อีกทั้งยังมีน้ำเหลืองน้ำหนองไหลออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน
ลักษณะของผีหลังกลวง
ผีหลังกลวง มีลักษณะคุ้มดีคุ้มร้ายมักอาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่มีทั้งเพศชายและหญิง ชื่อชอบของดิบ ชอบอาศัยอยู่บริเวณที่มีอากาศเย็น โดยเฉพาะแถบน้ำตก เล่ากันว่าแถวน้ำตกโตนงาช้าง และย่านหูแร่ ในจังหวัดสงขลา เคยเป็นที่อยู่อาศัยของผีหลังกลวง มักปรากฎกายแสร้งเป็นนักเดินทางเข้ามาพูดคุยขอพักแรมร่วมกับคนที่ค้างแรมอยู่กลางป่า หากเป็นชายจะใช้ผ้าคลุมปิด ถ้าหากเป็นผู้หญิงมักจะเป็นสาวงามที่ไว้ผมยาวจนถึงเอวอำพรางแผ่นหลังที่กลวงโบ๋เอาไว้ เพื่อไม่ให้คนทั่วไปสังเกตเห็น จากนั้นผีหลังกลวงจะใช้ส่วนอื่นที่เหมือนกับมนุษย์ทั่วไปทุกประการในการตีซี้เข้าหามนุษย์ได้อย่างแยบคาย โดยมักจะชอบหลอกด้วยการแกล้งทำเป็นคันหลังแล้วขอให้ช่วยเกาหลังให้เมื่อหันหลังให้อีกฝ่ายก็ต้องยืนตัวแข็งไม่ก็วิ่งกันป่าราบเลยทีเดียว
คนเฒ่าคนแก่เชื่อว่า ถ้าหากใครเดินทางผ่านป่าแล้วเกิดการพลัดหลงกับบเพื่อน ห้ามส่งเรียกหากันว่า “โห่ฮิ้ว!” อย่างเด็ดขาด เพราะผีหลังกลวงมักจะโห่ขานรับดังขึ้นเป็นทอดๆ จนทำให้แยกไม่ออกว่าอันไหนเป็นเสียงของคน และอันไหนเป็นเสียงของผีหลังกลวงกันแน่
ในอดีตมีการเลี้ยงผีหลังกลวงเอาไว้เพื่อช่วยเป็นแรงงาน บางครั้งผีหลังกลวงจึงออกมาจากป่าเพื่อช่วยชาวบ้านทำงานในไร่นา แต่ถ้าหากใครบังเอิญพบกับพวกมันกลางป่า ก็ถือว่าเคราะห์ร้าย แต่เชื่อกันว่าผีหลังกลวงจะหลอกเฉพาะคนเลวเท่านั้น แต่มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับความดุร้ายของผีหลังกลวงในจังหวัดพัทลุงเช่นกัน โดยผีหลังกลวงตนหนึ่งได้เดินตามเจ้าของบ้านในตอนกลางคืนพร้อมกับอาสาที่จะตำข้าวสารให้ แต่พอสบโอกาสเจ้าของบ้านเผลอก็ได้ฉวยโอกาสหักคอกับครกตำข้าวทันที เรื่องเล่านี้ส่งผลให้คนพัทลุงในสมัยก่อนจึงไม่นิยมตำข้าวสารกันในเวลากลางคืน
นิทานอีกเรื่องที่มีการกล่าวถึงความดุร้ายของผีหลังกลวงเล่าว่า ชาวไร่คนหนึ่งอาศัยอยู่ที่เชิงเขา ตกกลางคืนขึ้นไปพักบนหนำพื้นยกสูงพร้อมกับก่อกองไฟไว้ข้างล่างหนำเพราะอากาศหนาวจัด ตกดึกผีหลังกลวงตนหนึ่งได้เข้ามาอาศัยไออุ่นของกองไฟ ด้วยความกลัวชาวบ้านจึงได้นำที่ครอบไก่มาผูกไว้เหนือจุดที่ผีหลังกลวงจะมานั่งผิงไฟ เมื่อผีมาก็ตัดเชือกให้ครอบตกลงครอบผีเอาไว้ ส่วนชาวไร่ก็วิ่งหนีกลับเข้าหมู่บ้านทันที รุ่งเช้าจึงชวนเพื่อนพากันกลับไปดู พบว่าผีหลังกลวงฉีกครอบหนีไปเสียแล้ว แถมยังแก้แค้นด้วยการถอนข้าวไปจนหมดไร่อีกด้วย จากความกลัวผีหลังกลวงชาวไร่คนนั้นจึงไปทำไร่ที่อื่น แต่ผีหลังกลวงยังคงแค้นไม่เลิกไล่จับชาวไร่คนนั้นมาใส่กองปรนที่เป็นหญ้าและเศษไม้มากองรวมกันแล้วจุดไฟเผาจนกระทั่งขาดใจตาย
นอกจากสันหลังที่กลวงโบ๋โดดเด่นอย่างเป็นเอกลักษณ์แล้ว ผีหลังกลวงยังขึ้นชื่อในเรื่องของการยึดถือ “สัจจะ” เป็นอย่างมาก หากผีหลังกลวงรับปากสิ่งใด พวกมันก็จะทำตามที่พูดโดยไม่บิดพลิ้ว ในขณะเดียวกันถ้าหากใครลั่นวาจาใดกับผีหลังกลวงเอาไว้ก็ต้องทำตาม ไม่เช่นนั้นผีหลังกลวงก็จะตามไปรังควานจนทำให้เกิดหายนะมากมายขึ้น
ไม่รักษาคำสัตย์ ระวังถูกหักคอไม่รู้ตัว!!!
มีเรื่องเล่าที่สยดสยองเกี่ยวกับการไม่รักษาสัตย์คำมั่นกับผีหลังกลวงอยู่เรื่องหนึ่งความคือ เคยมีเจ้าอาวาสรูปหนึ่งต้องการสร้างอุโบสถหลังใหม่ แต่ขาดไม้และแรงงานที่จะช่วยทำให้เสร็จตามฤกษ์จึงได้ขอให้ผีหลังกลวงที่เป็นสหายกันพาพวกพ้องผีมาช่วยก่อสร้าง ผีหลังกลวงรับคำและขอให้เจ้าอาวาสจัดหาหนังตะลุง 4 โรง มาเล่นทั้ง 4 ทิศ ในวันที่อุโบสถสร้างเสร็จ เป็นเวลา 7 วัน ซึ่งเจ้าอาวาสได้รับปาก เหล่าผีหลังกลวงจึงได้ช่วยกันตัดลากไม้ลงมาจากภูเขาและสร้างอุโบสถในตอนกลางคืนจนเสร็จทันตามกำหนด ทางเจ้าอาวาสก็จัดหนังตะลุงให้ตามที่รับปาก โดยมีผีหลังกลวงพากันคลุมหลังปะปนเข้ามาชมหนังตะลุงด้วยเป็นจำนวนมาก แต่ในคืนสุดท้ายคณะแสดงหนังตะลุงเจ้าหนึ่งเกิดมาแสดงไม่ได้ แต่เจ้าอาวาสกับนิ่งนอนใจว่าเปนคืนสุดท้ายแล้วจึงละเลยคำสัญญา ปรากฏว่าชาวบ้านได้ยินเสียงร้องดังมาจากกุฎิเจ้าอาวาส และภายในนั้นปรากฏร่างไร้วิญญาณของเจ้าอาวาสนอนจมกองเลือดที่ไหลนอนทั่วพื้นอยู่โดยคอถูกหักจนหมุนรอบ การมรณภาพของเจ้าอาวาสที่ชวนสยดสยองในครั้งนั้น เล่าลือกันว่าเป็นเพราะไม่ทำตามสัญญากับผีหลังกลวงนั่นเอง
"ปลาหมอ" ภาพจาก : sites.google.com/site/atinanchaweewong/laksna-pla-hmxthiy
นิทานเรื่องเล่าเกี่ยวกับผีหลังกลวงได้กล่าววิธีการขับไล่ผีหลังกลวงเอาไว้ว่า มีชายคนหนึ่งค้างพักแรมอยู่ในป่า และมีผีหลังกลวงได้เข้ามาขอปลา ชายคนดังกล่าวได้ทำการขับไล่ผีหลังกลวงไปด้วยการนำเอา “ก้อนเส้า” (ก้อนหินที่ใช้ก่อกองไฟ) ร้อนๆโยนใส่เข้าไปในหลังที่กลวง พวกมันก็จะกรีดร้องวิ่งหนีไปพร้อมกับฝูงผึ้งที่บินออกมาเหมือนกับผึ้งแตกรัง ผีหลังกลวง ยังกลัวปลาหมออย่างมากจนไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะผีหลังกลวงกลัวว่าจะถูกเอาปลาหมอโยนใส่หลังแล้วปลาหมอจะดีดตัวว่ายไปมาอยู่ในนั้นจนกระทั่งฉีกอวัยวะภายในของผีหลังกลวงนั่นเอง ทำให้ชาวบ้านภูเขาแก้วในจังหวัดสตูล เมื่อถึงช่วงฤดูดำนาในช่วงบ่ายชาวบ้านจะจับปลาหมอเตรียมเอาไว้ เพื่อเตรียมพร้อมกับการมาของผีหลังกลวงที่จะมาช่วยอาสาดำนา ถ้าหากใครไม่มีปลาหมอผีหลังกลวงก็จะช่วยดำนาอย่างขยันขันแข็งไม่ว่านาจะมีพื้นที่กว้างใหญ่แค่ไหนจนมืดค่ำ แต่พอรุ่งเช้าต้นกล้าที่ปักเอาไว้ก็จะถูกถอนทิ้งจนหมด ซึ่งเป็นการกลั่นแกล้งจากผีหลังกลวงนั่นเอง นอกจากนี้ยังเชื่อผีหลังกลวงยังกลัว “เบ็ด” อีกด้วย
ถ้าหากผีหลังกลวง ยังคงมีหลงเหลืออยู่ในปัจจุบันคงเป็นเรื่องที่ยากในการสังเกต เนื่องจากสมัยนี้ทุกคนสวมใส่เสื้อผ้าที่ค่อนข้างปกปิดแผ่นหลังเอาไว้ได้อย่างมิดชิดไม่เหมือนกับในสมัยก่อนที่ผู้ชายจะไม่สวมเสื้อ และผู้หญิงนุ่งกระโจมอก ทำให้สามารถสังเกตเห็นความผิดปกติได้อย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการได้ตั้งข้อสังเกตว่า ผีหลังกลวง น่าจะเป็นเพียงตำนาน-นิทาน ที่ผู้เฒ่าผู้แก่สร้างขึ้นมาเพื่อหลอกให้คนหนุ่มสาวไม่แอบมาเกี้ยวพาราสีกันในตอนกลางคืน แทนที่จะใช้ช่วงเวลาดังกล่าวในการมาทำช่วยตำข้าวสารอย่างจริงจัง ทำให้คนที่กลัวผีหลังกลวงจึงมักที่จะรีบตำข้าวสารให้เสร็จตั้งแต่ในตอนกลางวันนอกจากงานจะเสร็จอย่างรวดเร็วแล้ว ยังช่วยให้ป้องกันการผิดประเพณีของหนุ่มสาวในตอนกลางคืนได้อีกด้วย