"ผีกองกอย" ภาพจาก : www.tumnandd.com/ผีกองกอย-เสียงร้องในไพร
“ผีกองกอย” บางครั้งเรียกว่า “ผีกองก๋อย” เป็นผีป่าประเภทหนึ่งที่มักอาศัยและปรากฏตัวอยู่ทางภาคอีสาน และทางฝั่งประเทศลาว ในภาคเหนือมักเรียกผีกองกอยว่า “ผีตองเหลือง” หรือ “ผีเสื้อห้วย ชอบอาศัยอยู่ในป่า ในถ้ำที่อยู่ไม่ไกลจากผู้คนมากนัก สันนิษฐานกันว่าเดิมทีผีกองกอย ไม่ใช่ผีไทยแท้แต่เป็นความเชื่อเรื่องผีที่ในประเทศเขมรที่เข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทยในช่วงเรืองอำนาจ เนื่องจากในประเทศลาวเอง ก็มีนิทานพื้นบ้านที่กล่าวถึงผีกองกอย ดั่งที่จะขอกล่าวถึงต่อไปในบทความชิ้นนี้
ลักษณะของผีกองกอย
ภาพจาก : https://www.youtube.com/watch?v=q9c8ahRYRI8
รูปร่างของผีกองกอยยังเป็นสิ่งที่ยังไม่แน่ชัดเหมือนกับผีชนิดอื่น พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ให้คำจำกัดความของ ผีกองกอยเอาไว้ว่าเป็นผีประเภทหนึ่ง เชื่อกันว่ามีตีนเดียว ไม่มีสะบ้าหัวเข่า จึงต้องเดินเขย่งเกงกอย ชอบออกมาดูดเลือดที่หัวแม่เท้าของคนที่นอนหลับพักแรมในป่า สอดคล้องกับความเชื่อของคนทั่วไปว่า ผีกองกอย มีขาเพียงข้างเดียว เท้าปุก ปลายเท้ากลับไปด้านหลังมีส้นเท้ายื่นออกไปก่อน เคลื่อนที่ไปมาด้วยการกระโดดเขย่งขาไปมาบนต้นไม้อย่างรวดเร็วจนคนส่วนใหญ่ที่เจอผีกองกอยมักเห็นเป็นเงาร่างสลัวเท่านั้น พร้อมกับส่งเสียงร้อง “กองกอย กองกอย...” บ้างว่าร้อง “ก๋อย ก๋อย ก๋อย” หรือ “จุ๊ จุ๊ จุ๊” บางคนเชื่อว่าที่จริงแล้วเสียงประหลาดนี้ ที่จริงแล้วไม่ใช่เสียงร้อง แต่เป็นเสียงที่เกิดขึ้นในขณะที่เคลื่อนที่จากการที่ไม่มีสะบ้าหัวเข่า และได้มีการนำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์นี้ มาตั้งชื่อให้กลายเป็นผีกองกอย บ้างก็เชื่อว่าที่มันได้รับชื่อนี้ เพราะมีขาข้างเดียวทำให้เวลาไปไหนมาไหนต้องเดินเขย่งกองกอยไป คนในบางพื้นที่มีความเชื่อว่า ปากของผีกองกอยมีลักษณะเป็นท่อคล้ายแมลงวัน บ้างเชื่อว่ามีหน้าตาคล้ายค่างแก่น่าเกลียด ทำให้บางครั้งผีกองถูกเรียกว่า “ผีโป่ง” หรือ “ผีโป่งค่าง” คนในสมัยก่อนที่มีการเล่นคาถาอาคมเชื่อกันว่าหากมีโอกาสได้ดื่มเลือดผีกองกอยจะช่วยทำให้ร่างกายเป็นอมตะอยู่ยงคงกระพันอีกด้วย
ชาวภูไทที่อาศัยอยู่ในอำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร เชื่อกันว่าผีกองกอย มีลักษณะเป็นผู้หญิงผมยาวสีแดง มีใบหน้าที่เรียวแหลม บ้างว่าดูคล้ายลิง แต่มีขนาดเล็กกว่าลิงตามปกติมาก ผีกองกอยมักชอบเดินถอยหลัง และกล่าววาจาตรงข้ามกับความจริงเสมอ และมักอาศัยอยู่กันเป็นครอบครัวตามถ้ำหรือโพรงไม้ ในที่อยู่อาศัยของผีกองกอยเต็มไปด้วยทรัพย์สินมีค่าจำนวนมหาศาล และออกหากินโดยจับปลากินตามลำห้วยหรือแม่น้ำ ในบางครั้งอาจแอบเข้ามาในหมู่บ้านเพื่อขโมยปลาหรือข้าวของชาวบ้าน คนโบราณมักเตือนลูกหลานว่าหากไปพบกับทรัพย์สมบัติมีค่าหรือปลาตกอยู่กลางทางในป่า โดยไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของห้ามเก็บมาอย่างเด็ดขาด เพราะผีกองกอยจะตามมาทวงสิ่งเหล่านั้นคืน ในกรณีทีเลวร้ายที่สุดผีกองกอยอาจทำร้ายด้วยการฆ่าล้วงควักตับไตไส้พุงของคนขี้ขโมยออกมากิน หรือในบางครั้งคนที่ตกเป็นเหยื่อก็จะนอนตายไปเฉยๆ โดยไม่มีบาดแผลภายนอกหรือที่เรียกกันว่า “ไหลตาย” นั่นเอง
ผีกองกอยมักจะออกหากินในช่วง “หมาหลับ” (ช่วงดึกสงัดของคนสมัยก่อน ที่ทั้งคนลสุนัขล้วนพากันหลับสนิท) ชอบของสด ของคาว และชอบกินปลามาก มักจะเอาปลาไปเสียบตากไว้บนต้นหนามแท่ง (ลักษณะต้นสีขาว มีหนาวยาวถี่ยิบรอบต้น) บางครั้งจะแอบมาขโมยของกินจากนักเดินทางที่ค้างแรมในป่า แต่ถ้าไม่มีอะไรให้กินพวกมันก็จะแอบมาดูดเลือดจากหัวแม่เท้าของคนที่นอนพักแรม ลักษณะการปรากฏตัวออกหากินของกองกอยได้รับการกล่าวถึงในนิยายชื่อดังอย่าง “เพชรพระอุมา” และ “ล่องไพร” รวมไปถึงวรรณคดีไทยหลายเรื่องอาทิเช่น พระอภัยมณี ที่มีการกล่าวถึง “อ้ายย่องตอด” หรือ ผีกองกอย ที่มาลักดูดเลือดจากคนเดินทาง
บันทึกการปรากฏตัวของผีกองกอย
ภาพจาก : https://www.tlcthai.com/horo
มีเรื่องเล่าและบันทึกหลายชิ้นที่ได้เล่าถึงการเผชิญหน้ากับผีกองกอยทั้งจากปากของคนทั่วไป และพระภิกษุสงฆ์ ยกตัวอย่างเช่น เรื่องราวของหลวงปู่แหวน สุจิณโณ อดีตเจ้าอาวาสวัดดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่ ท่านเคยเล่าว่าในอดีตครั้งที่ออกธุดงค์ในป่าดิบทึบในแขวนคำม่วน ประเทศลาว พร้อมกับหลวงปู่ตื้อ อจลธมโม ท่านทั้งสองได้เผชิญหน้ากับผีกองกอยในตอนกลางคืน ผีกองกอย เหล่านั้นมีรูปร่างคล้ายกับเด็กอายุประมาณ 13-14 ปี รูปร่างผ่ายผอม พุงป่อง ผิวคล้ำ ผมรุงรัง จมูกบี้แบน ถืออาวุธในมือคล้ายหน้าไม้ และธนูอันเล็กๆที่เรียกว่า “หน้าทึ่น” ที่นิยมใช้กันในป่า พร้อมสะพายกระบอกไม้ไผ่ใส่ลูกดอกอาบยาพิษ พวกมันส่งเสียงร้อง “ก๋อย ก๋อย ก๋อย” พร้อมกับพยายามเข้ามาทำร้ายโดยการล้อมยิงลูกดอกอาบยาพิษใส่หลายครั้ง แต่ทว่าหลวงปู่ทั้งสองรูปได้ทำการนั่งสมาธิแผ่จิต ด้วยปาฏิหาริย์ลูกดอกทั้งหมดตกร่วงก่อนถึงพวกท่านก่อนเป็นวา จนทำให้พวกผีกองกอยต่างแตกหนีกันไปคนละทางด้วยความหวาดกลัว เพราะไม่สามารถทำร้ายพวกท่านได้สำเร็จ
กระทั่งรุ่งเช้าผีกองกอยเหล่านั้นได้ยอมแพ้และเข้ามาขอขมา พร้อมกับนิมนต์หลวงปู่ทั้งสองรูปไปยังที่พักของตนเอง ทำให้หลวงปู่ทั้งสองรูปเข้าใจว่าแท้จริงแล้วผีกองกอยเหล่านั้น คือ คนป่าเผ่า “ข่าระแด” ที่มีพฤติกรรมชอบออกล่าและฆ่ากินเนื้อมนุษย์ที่รุกล้ำเข้ามาในถิ่นของตนเอง หลวงปู่ทั้งสองรูปอยู่โปรด และสอนให้ชาวป่าเหล่านั้นเลิกละจากการเข่นฆ่ามนุษย์ด้วยกันนานหลายวัน เมื่อเห็นว่าชาวป่าเชื่อคำสอนอย่างจริงใจแล้ว หลวงปู่ทั้งสองก็ออกเดินทางธุดงค์ต่อไปท่ามกลางความอาลัยอาวรณ์ของเหล่าชาวป่าอย่างยิ่ง
หลวงปู่อ่อนสา สุกาโร วัดป่าประชาชุมพล อ.เมือง จ.อุดรธานี เล่าว่า เมื่อครั้งท่านธุดงค์ไปแถวภาคกลาง ในคืนหนึ่งในขณะปักกลดอยู่เพียงลำพัง ท่านสังเกตเห็นดวงตาคู่หนึ่งจับจ้องมาจากบนต้นยางใหญ่ เมื่อท่านทำการกำหนดจิตไปยังดวงตาคู่นั้น พลัน! มีเสียงวัตถุตกลงมากระแทกพื้นดัง “บึบ” รุ่งเช้า ท่านได้เดินไปตรวจดูบริเวณต้นยางใหญ่ที่น่าจะเป็นจุดตกของวัตถุลึกลับพบขนสัตว์สีขาวคล้ายขนของชะนีอยู่หยิบมือหนึ่ง ท่านเชื่อว่าขนเหล่านั้นเป็นของผีกองกอย เพราะท่านได้ยินเสียก่อนปรากฏตัวของมันว่า “ก๋อย ก๋อย” มีดวงตาโตกว่าชะนี ขนสีขาวออกเหลือง มีความเฉลียวฉลาด เมื่อเดินลงจากต้นไม้จะเดินถอยหลังลง และเดินถอยหลังมาเรื่อยๆจนถึงจุดที่ท่านปักกลด ผีกองกอยเข้ามาขออาหารที่ฉันเหลือ หรือเศษอาหารที่ถูกทิ้งเอาไว้ ซึ่งหลวงปู่กล่าวว่าผีกองกอยที่จริงแล้วไม่ใช่ผี หรือวิญญาณ หากแต่เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง ที่เฉลียวฉลาดจนสามารถเดินถอยหลังได้ ผิดกับความเชื่อของคนทั่วไปที่ว่าหากปลายเท้าหันไปด้านใด ต้องเดินไปยังด้านนั้นเสมอ
พระยาราชเสนา ได้บันทึกเรื่องราวของการเผชิญหน้ากับผีกองกอยเอาไว้ว่าเมื่อ พ.ศ.2460 ท่านได้ออกไปทำการตรวจป่าเรวและต้นอบเชยที่ จ.ชัยภูมิ โดยพักแรมอยู่ที่ภูเขาเขียว กลางดึกในคืนหนึ่งขณะที่คนอื่นนอนหลับ เหลือเพียงท่านที่ยังนอนเสวนากับนายด้วง ปลัดอำเภอ และตาโข้ ชาวบ้านที่อาสาเดินทางมาด้วยที่ยังนั่งสานตะกร้าใส่ของป่า เฝ้ายามเติมกองฟืนไม่ให้มอดดับ
ราว 21 นาฬิกา (ประมาณ 3 ทุ่ม) ท่านและนายด้วงได้ยินเสียงดัง “จ๊อก จ๊อก” เหมือนคนจุ๊ปากอยู่ห่างๆ เสียงนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พร้อมกับมีเสียงใบไม้ดังสวบตามเสียงด้วยทุกจังหวะดัง “จ๊อก สวบ จ๊อก สวบ” เหมือนต้นกำเนิดเสียงกำลังร้องไปด้วยกระโดดอยู่บนกิ่งไม้ไปด้วย สอบถามกันไม่มีใครรู้ว่าเป็นตัวอะไรท่านจึงได้เตรียมปืนเอาไว้เผื่อจำเป็น จนกระทั่งเสียงนั้นมาหยุดบนต้นไม้บริเวณที่พัก แสงจากกองไฟก็เพียงสลัวทำให้มองไม่เห็นตัวมันอย่างชัดเจน แต่ก่อนที่ท่านจะได้ลั่นไก ตาโข้ ออกปากตะโกนเรียกชื่อใครบางคนขึ้นมาเสียดื้อๆ เงาบนต้นไม้ได้ยินก็ร้องตอบเสียงดังว่า “จ๊อก” เพียงครั้งเดียว แล้วมีเสียงเหมือนลมพัดอย่างรุนแรง ลู่ไปตามต้นไม้นั้น และต้นถัดไปซู่เป็นทางยาวนานประมาณห้าวินาที แล้วเงียบหายไปเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
พระยาราชเสนาสอบถามตาโข้ได้ความว่า ชื่อที่แกเรียกเมื่อสักครู่เป็นสหายที่เสียชีวิตไปเมื่อนานหลายสิบปีแล้ว แต่เป็นชื่อที่ผีชนิดนี้กลัวมาก ถ้าแสร้งทำเป็นออกชื่อร้องเรียกเหมือนมาด้วยกัน พอได้ยินชื่อพวกผีก็จะรีบหนีทันที ส่วนผีพวกนั้นเรียกกันว่า “กองกอย” มีตีนเดียว ใครไปพบรอยก็พูดเหมือนกันว่าเหมือนกันทุกที่ ลักษณะเหมือนรอยเท้าเด็กเล็ก ผีกองกอยยังมีฤทธิ์เดชแปลงกายให้มีขนาดเล็กเท่ากับลูกลิง ถ้ามีนักเดินทางผ่านมาค้างแรมในถิ่นก็จะลอบเข้ามาขโมยของกินตอนหลับ แต่ถ้ายังไม่ถึงที่ตายผีกองกอยก็จะไม่สามารถกินเลือดได้ แล้วหันไปขโมยเขียดหรืออึ่งยาง ที่นักเดินทางขังไว้ในหม้อเป็นอาหาร ซึ่งคนที่ร่วมเดินทางไปกับพระยาเสนาในครั้งนั้นหลายคนก็ได้ยืนยันคำของตาโก้ ว่าเคยเห็นรอยเท้าและถูกผีกองกอยขโมยกบ ขโมยเขียดในระหว่างการเดินทางเช่นกัน
พระยาอนุมานราชธน ได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับผีกองกอยเอาไว้ว่า เมื่อมันปรากฏตัวขึ้นจะมีเสียงดัง “ซู่” ใหญ่ดังมากจากที่ไกลแล้วจะดังมากขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อมาถึงตัว ถ้าหากใครตื่นอยู่ให้ออกเสียงไล่ตะเพิด ผีกองกอยก็จะผ่านเลยไปจนกระทั่งเสียงซู่เหล่านั้นหายไป แต่ถ้าใครนอนหลับสนิท ผีกองกอยก็จะเข้ามาดูดเลือดตรงหัวแม่เท้า โดยที่คนถูกดูดเลือดจะไม่รู้สึกตัวเลย ถ้าหากดูดเลือดไปเป็นจำนวนมาก ก็อาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้
สมาชิกในเว็บไซต์ Pantip ได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับผีกองกอย ที่ได้ฟังจากพระรูปหนึ่งที่เคยเป็นพรานป่าที่ออกหาของป่ากับหลานชายแล้วเผชิญหน้ากับผีกองกอยเมื่อประมาณ 60 ปี ก่อน สาเหตุที่ผีกองกอยปรากฏตัวเป็นเพราะหลานชายได้กระทำเรื่องที่ผิดผีป่าโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เนื่องจากพรานมีคาถาอาคมติดตัวจึงได้ทำการเสกข้าวสารซัดปากถ้ำที่พักแรมเอาไว้ในตอนกลางคืน เมื่อตกดึกผีกองกอยปรากฏตัวพร้อมกับเสียงโหยหวนกรีดร้องเหมือนกับพายุ จนกระทั่งมันมาหยุดอยู่ที่ปากถ้ำ จากแสงกองไฟส่องให้เห็นรูปร่างของผีกองกอยอย่างชัดเจนว่ามีลักษณะเหมือนกับลิงขนาดเล็กกว่าลิงปกติ หน้าคล้ายมนุษย์ ผอม แขนขายาว เล็บยาว ตัวแดงเหมือนไฟยืนแยกเขี้ยวอยู่หน้าถ้ำ หลังจากที่พรานทำการบริกรรมคาถาอยู่พักใหญ่ในที่สุดผีกองกอยก็ถอยกลับแล้วหายเข้าไปในป่ายามราตรี
นิทาน และตำนานเกี่ยวกับผีกองกอย
ชาวลาว ได้เล่านิทานที่น่าสนใจเกี่ยวกับผีกองกอยเอาไว้ว่า มีชายคนหนึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเชิงเขาทำอาชีพจับปลาในแม่น้ำขนาดเล็กใกล้หมู่บ้าน วันหนึ่งเขาได้ไปตรวจดูปลาที่ดักไว้ในตาข่ายตอนเช้ามืดปรากฏว่าไม่มีปลาติดสักตัว พอตกเย็นก็ยังไม่มีปลาติดเหมือนเดิม พอรุ่งเช้าของอีกวันก็ยังคงไม่มีปลาเหมือนเดิมจนผิดสังเกต หลังจากที่เดินตรวจดูรอบๆ ได้พบรอยเท้าเล็กๆคล้ายกับของเด็กย่ำอยู่บนพื้นทรายใกล้ๆเต็มไปหมด ด้วยความสงสัยเขาจึงได้แกะรอยเดินตามรอยเท้าเหล่านั้นไปจนถึงถ้ำแห่งหนึ่ง ในนั้นมีผู้หญิงร่างเล็กผมสีแดง เท้ากลับด้านไปด้านหลังผิดจากทั่วไป ทำให้มั่นใจว่าผู้หญิงคนนั้นคือผีกองกอยอย่างแน่นอน
ด้วยความหวาดกลัวเขาจึงได้ร้องขอชีวิต โดยผีกองกอยยื่นเงื่อนไขว่าจะไม่ทำร้ายหากเขายอมมาเป็นสามี และจะมอบทรัพย์สินมีค่าที่เก็บสะสมไว้ในถ้ำให้ทั้งหมด เพียงแค่ชายคนนั้นทำหน้าที่เฝ้าถ้ำเอาไว้ในขณะที่ผีกองกอยออกไปหากินเท่านั้น หลังจากที่อาศัยอยู่กินกับผีกองกอยเป็นเวลาหลายวัน เขาเริ่มสังเกตเห็นว่าผีกองกอยมักพูดตรงข้ามกับความจริงเสมอ วันใดบอกจะกลับช้า ที่จริงแล้วจะกลับมาเร็วมากขึ้นกว่าเดิม
เมื่อจับเคล็ดได้และผีกองกอยบอกว่าจะออกไปหากินแล้วกลับเร็ว ชายคนนั้นรีบกวาดทรัพย์สินมีค่าในถ้ำใส่ถุงแล้ววิ่งหนี ไม่นานนักผีกองกอยที่รู้ตัวก็ติดตามมาจนกระทั่งใกล้ทัน เขาได้ออกอุบายแกล้งทำเป็นลม เอาศีรษะซุกเข้าไปในโพรงดินแล้วแกล้งทำเป็นแน่นิ่งไม่ไหวติง เมื่อผีกองกอยตามมาทันก็ออกปากขอร้องให้เขายอมกลับถ้ำ แต่เขาก็ไม่ยอมขยับเลยแม้แต่น้อย แม้ผีกองกอยจะหว่านล้อมด้วยคำหวานเพียงใด เขาก็ยังคงทำเป็นนิ่ง เมื่อผีกองกอยเอามือจี้ไปที่ร่างก็ยังคงไม่ไหวติง ประกอบกับมีกลิ่นเหม็นตุๆลอยออกมาจากร่างยิ่งทำให้ผีกองกอยคิดว่าเขาเสียชีวิตเสียแล้ว ผีกองกอยเสียใจมากร้องไห้คร่ำครวญก่อนที่ฝังเขาไปพร้อมกับถุงใส่ทองแล้วกลับถ้ำไป หลังจากที่ทนนอนนิ่งอยู่พักใหญ่จนเห็นว่าปลอดภัย เขาก็แหวกดินออกแล้วกลับหมู่บ้านไป พร้อมกับเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้หลายคนฟัง
ชายขี้อิจฉาคนหนึ่งได้ฟังเรื่องราวก็พลันหัวใสเห็นโอกาสตบทรัพย์ โดยแสร้งทำเหตุการณ์ให้เหมือนกับชายคนแรก จนกระทั่งได้เป็นผัวของผีกองกอย ผิดกันแค่ว่าด้วยความโลภทำให้เขากวาดทองมาด้วยหลายถึงทำให้วิ่งหนีได้ช้ากว่า เมื่อผีกองกอยไล่มาจวนตัวเขาก็โยนถุงใส่ทองทิ้งไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงไร่ที่มีหลุมอยู่ก็ออกอุบายแกล้งล้มเอาศีรษะมุดเข้าไปในหลุมแกล้งแน่นิ่งเหมือนกัน เมื่อผีกองกอยติดตามมาทันก็พูดเหมือนกับที่เคยพูด พลางเอามือจิ้มที่ร่าง แต่ด้วยความที่ชายคนนี้เป็นคนบ้าจี้ทำให้เผลอหัวเราะออกมา ผีกองกอยเห็นแบบนั้นก็พลันหัวเราะตามไปด้วยพร้อมกับร้องว่า “กองกอย กองกอย” แล้วจัดการแหวกกินตับไต ไส้พุง ของชายโลภมากจนหมดอย่างน่าสยดสยอง
นิทานลาวที่กล่าวถึงผีกองกอยยังมีอีกเรื่องหนึ่ง โดยมีเรื่องราวคล้ายกับเรื่องแรก ชายคนหนึ่งไปดักปลา แต่ไม่เคยได้ปลาติดกลับมา ด้วยความสงสัยเมื่อตรวจดูรอบๆที่ดักปลาปรากฏรอยเท้าปุก ขนาดไม่เกินสามนิ้ว เขาเชื่อว่าต้องรอยเท้าของคนที่มาขโมยปลาไปอย่างแน่นอน ด้วยความแค้นใจจึงได้ทำการดักซุ่มรอจนเกือบเช้า เมื่อได้ยินเสียงคนเดินมาจึงได้ออกไปดูก็เห็นว่าเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ตัวเปล่าเปลือย ผมยาวสาก กำลังจะเข้าไปขโมยปลา เขาเลยเข้าไปจับตัวแต่สู้แรงไม่ได้ และถูกผีกองกอยจับกลับถ้ำ พร้อมบังคับให้เป็นผัวอยู่นานสามปี มีลูกด้วยกันหนึ่งคน เมื่อผีกองกอยออกไปหากินมันจะเอาหินน้ำหนักหลายตันปิดปากถ้ำเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เขาหลบหนี
วันหนึ่งลูกชายที่ได้รับพละกำลังอำนาจมาจากผีกองกอยได้ผลักหินที่ปิดปากถ้ำออก เมื่อสบโอกาศเหมาะเช่นนั้น เขาก็รีบวิ่งหนีออกจากถ้ำทันที เมื่อผีกองกอยกลับถ้ำมาไม่เจอผัว มันก็รีบติดตามมาจนเกือบทัน ผู้ชายคนนั้นจึงแกล้งทำเป็นนอนตาย ผีกองกอยเห็นเช่นนั้นเลยเอามือจี้สีข้าง แม้ว่าเขาจะกลั้นหัวเราะได้แต่ก็เผลอตดออกมาจนเกิดกลิ่นเหม็นทำให้ผีกองกอยเข้าใจว่าตายแล้วจริง
ด้วยความโศกเศร้าผีกองกอยจึงได้วางฆ้องเอาไว้ข้างร่างของเขา พร้อมกับบอกว่า “ถ้าเธอต้องการอะไร ให้ตีฆ้องนี้ขึ้น” เมื่อผีกองกอยกลับถ้ำ เขาก็หอบฆ้องกลับบ้าน เมื่อไหร่ที่ต้องการเงินทองเพียงแค่ทำการลั่นฆ้องก็จะได้สมปรารถนาทุกครั้ง จากเรื่องเล่าทั้งสองสันนิษฐานได้ว่าผีกองกอยสามารถมีลูกกับมนุษย์ได้ และเมื่อมนุษย์ที่เป็นคู่เสียชีวิตลงก็จะมีการมอบถุงทรัพย์สินมีค่าให้ เสมือนกับเป็นการทำบุญให้กับผู้ตายนั่นเอง
คลิปสยอง ผีกองกอย
ภาพจาก : https://www.sanook.com/news/7527818/
นอกจากคำบอกเล่า นิทานและบันทึกเกี่ยวกับผีกองกอยแล้ว ในปัจจุบันก็ยังมประเด็นการพบเห็นผีกองกอยที่ถูกบันทึกภาพเอาไว้เป็นคลิปวีดิโอโดยผู้ใช้ Facebook ที่มีชื่อว่า Chantha Sitouluk ทำการโพสต์คลิปวีดิโอในชื่อว่า “เจอผีกองกอยทางบ้านนาน้อย” ทำให้มีผู้เข้าไปรับชม และแสดงความเห็นกันอย่างมากมายนับล้านเลยทีเดียว โดยมีหลายคนเชื่อว่าสิ่งที่ได้เห็นคือผีกองกอย อีกส่วนหนึ่งให้ความเห็นว่าน่าจะเป็นผีโพง ส่วนในแง่ของนักวิชาการเชื่อว่ามันเป็นนกสายพันธุ์กระยางที่ตกใจมนุษย์พยายามกระโดดหนีขาเดียว แต่หลังจากที่มีการเผยแพร่คลิปฉบับเต็มพบว่า ผีกองกอยที่ปรากฏตัวขึ้นมาในคลิปนั้น เป็นเพียงแค่ของปลอมที่ถูกทำขึ้นจากการเล่นพิเรนของกลุ่มวัยรุ่นเท่านั้น
ผู้เขียนเคยฟังเรื่องเล่าของ ผีกองกอยที่ปรากฏตัวในทางภาคอีสานจากผู้เฒ่าผู้แก่ว่ามีลักษณะเหมือนค่างไปไหนมาไหนจะอาศัยการโหนต้นไม้ไปเหมือนลิง เมื่อไหร่ก็ตามที่ผีกองกอยปรากฏตัว ลมจะหยุดพัด ใบไม้จะหยุดไหว อากาศจะนิ่งสนิท แล้วได้ยินเสียงต้นไม้ล้มระเนระนาดมาเป็นทางในเส้นทางที่มันโหนต้นไม้ผ่าน เมื่อมันเจอเหยื่อในตอนกลางคืน ผีกองกอยจะเฝ้ารอให้เหยื่อนั่งลงให้ก้นติดกับพื้น เมื่อสบโอกาสจะร้องว่า “กองกอย” ถ้าหากร้องถึงครั้งที่สามแล้วเหยื่อยังไม่รีบลุกขึ้นจากพื้นดิน ผีกองกอยก็จะมุดดินเอามือล้วงเข้าไปในก้นแล้วดึงเอาตับไตไส้พุงออกมากิน
เชื่อกันว่าถ้าหากใครอยากป้องกันไม่ให้ผีกองกอยมาแอบดูดเลือด ให้ทำการนอนไขว้ขาห?