จุดกำเนิดของเวทมนตร์ (Magic)
เวทมนตร์ หรือ มายิก (Magic) เป็นความหมายโดยรวมของเวทมนตร์ คาถา ไสยศาสตร์ เป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เกิดจากพลังอำนาจบางอย่างที่ถือครองโดยมนุษย์ ดลบันดาลให้เกิดเหตุการณ์เหนือธรรมชาติขึ้นมา
เชื่อกันว่า “เวทมนตร์” เป็นคำเรียกที่เกิดขึ้นจากลัทธิลึกลับที่มีชื่อว่า “hoi mystikoi” ในสมัยกรีก-โรมัน ลัทธินี้ มีพิธีกรรมที่ถูกเรียกว่า "TA mystika" ที่เป็นต้นกำเนิดของปรัชญาโบราณ ที่นักปราชญ์ชื่อก้องโลกอย่าง พิทาโกรัส และเพลโต ได้ทำการศึกษาเรียนรู้ จนนำไปสู่การพิจารณาความลึกลับของธรรมชาติ โดยมีพื้นฐานเชื่อว่า “ความจริง” เป็นสิ่งที่มากเกินกว่าความเข้าใจ การรับรู้ และปัญญาของมนุษย์ ทำให้หลายครั้งที่ เวทมนตร์ ถูกนำมาใช้ในการอธิบายเรื่องราวต่างๆ ที่ยังครุมเครือไม่ชัดเจน และเกินความเข้าใจของมนุษย์
ด้วยเหตุผลที่ เวทมนตร์ เป็นสิ่งที่สิ่งลี้ลับที่อยู่เหนือความเข้าใจของผู้คน จึงทำให้เวทมนตร์ ในสมัยนั้น มีอำนาจน่าเกรงขามเหมือนกับภัยพิบัติต่างๆที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ ไม่มีการบันทึกเอาไว้อย่างเป็นทางการว่าเวทมนตร์ถือกำเนิดมาได้อย่างไร แต่เชื่อกันว่ามันมีมานาน พร้อมกับมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์เสียอีก
คนในยุคหิน เชื่อว่าภัยพิบัติจากธรรมชาติเกิดขึ้นด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยว โดยอ้างอิงจากอารมณ์ของตนเอง กล่าวคือ เมื่อแม่น้ำจะไหลเชี่ยวอย่างรุนแรงเข้าทำลายที่อยู่อาศัย ชาวเผ่าเหล่านี้ก็จะใช้ตัวเองเป็นที่ตั้ง เข้าใจไปเองว่าแม่น้ำคงจะโมโหหิว จึงได้มีการโยนเสบียงอาหารลงไปในแม่น้ำ เพื่อช่วยบรรเทาความหิว ลดความโกรธเกรี้ยวให้น้อยลง หรือพากันกู่ร้องเสียงดังในขณะที่เกิดสุริยุปราคาเพราะเชื่อว่าจะสามารถช่วยขับไล่ความมืดมิดที่กำลังกลืนกินดวงอาทิตย์ เป็นต้น
ความเชื่อเหล่านี้ กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของ “พิธีกรรม” ในช่วงแรกๆทุกคนในเผ่ามักมาร่วมทำพิธีกรรมต่างๆร่วมกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานๆเข้า สังคมมีความเจริญมากขึ้น ภาระและหน้าที่ของทุกคนในสังคมก็มีมากขึ้นตามไปด้วย ทำให้หน้าที่ในการทำพิธีกรรมตกไปอยู่กับคนเพียงคนเดียว คือ “นักเวทมนตร์” โดยทำการคัดเลือกจากคนที่เฉลียวฉลาด ไหวพริบดี มีอายุมากที่สุดของกลุ่ม หรือในบางครั้ง อาจจะเป็นหน้าที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง ตำแหน่งดังกล่าว แม้แต่หัวหน้าเผ่าที่เป็นผู้แข็งแรงที่สุด ก็ต้องให้ความเคารพยำเกรง และมาขอคำปรึกษาก่อนล่าสัตว์ หรือออกรบ
นักเวทมนตร์ในยุคแรกๆ มักใช้เวทมนตร์ในด้านดี มีประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นนักเวทมนตร์ขาว นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นหมอ คอยรักษาลูกเผ่าด้วยความรู้ด้านยาสมุนไพรต่างๆที่ได้รับการถ่ายทอดมากจากนักเวทมนตร์รุ่นก่อนๆ หรือการเยียวยาความเจ็บป่วย บาดแผล ด้วยเวทมนตร์ โดยการทำพิธีกรรมเรียกวิญญาณฝ่ายดี เหล่าเทวดามาช่วยในการรักษา รวมไปถึงปกป้องคุ้มครองนักรบที่กำลังจะเดินทางไปสู่สนามรบ
เวทมนตร์ ที่ถูกแปรเปลี่ยนสู่ด้านมืด
เมื่อเวลาผ่านไป ก็ได้เริ่มมีการนำเวทมนตร์ไปใช้ในด้านมืด เริ่มมีเกิดการจ้างวานโดยใช้ผลประโยชน์ต่างๆตอบแทน เพื่อให้นักเวทย์ประกอบพิธีกรรมเพื่อมุ่งร้ายหมายทำลายชีวิตผู้อื่นเพื่อผลประโยชน์ต่างๆของตัวเอง เช่น ถ้าอยากครอบครองภรรยาของผู้อื่น วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือทำให้หล่อนเป็นหญิงม่ายเสียก่อน เป็นต้น ทำให้เหล่านักเวทมนตร์ดำ เริ่มเห็นช่องทางในการได้มาซึ่งผลประโยชน์ ชื่อเสียง และของกำนัล จึงไม่น่าแปลกใจที่นักเวทมนตร์จำนวนมากได้หันหลังให้กับแสงสว่าง ตบเท้าเดินเข้าสู่ความมืดกันอย่างเต็มใจมากขึ้นเรื่อยๆ
เดิมที เวทมนตร์ เกิดขึ้นจากการยืมพลังจากวิญญาณฝ่ายดี หรือเหล่าวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ในธรรมชาติเพื่อช่วยเหลือผู้คน แต่เมื่อต้องการทำร้ายผู้คน นักเวทมนตร์ดำจึงได้หันไปนับถือปีศาจ เพื่อให้สามารถยืมพลังจากเหล่าวิญญาณที่ชั่วร้ายกร้าวราว ซึ่งกระหายที่จะทำร้ายผู้คนอยู่ตลอดเวลา เมื่อมีอำนาจมากขึ้น นักเวทมนตร์ดำหลายคนที่ลุ่มหลงในอำนาจ จึงได้ทำการตั้งตัวเองขึ้นเสมือนตุลาการของเผ่า พร้อมกับออกกฎเหล็กต่างๆ เพื่อให้คนในเผ่าเชื่อฟังอย่างเคร่งครัด ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนย่อมต้องก้มหน้าก้มตาทำตาม เพราะเกรงกลัวพลังอำนาจเวทมนตร์ที่ยิ่งใหญ่ ที่สามารถควบคุมธรรมชาติได้ กฎต่างๆที่ถูกบัญญัติขึ้นโดยนักเวทมนตร์เหล่านี้ถูกเรียกว่า “ตาบู” มีความหมายว่า “ต้องห้ามด้วยเหตุผลอันศักดิ์สิทธิ์”
เมื่อเวลาผ่านล่วงเลยไปจนศาสนาถือกำเนิดขึ้นมา ได้มีการวาดภาพขึ้นให้เห็นว่าเทพเจ้า และเหล่าเทวดานั้นอาศัยอยู่บนสรวงสวรรค์ ที่สะอาด สวยงาม และสว่างเจิดจ้าเหมือนอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าตลอดเวลา ในขณะที่ศัตรูของเหล่าทวยเทพ หรือปีศาจต้องอาศัยอยู่ภายใต้พื้นโลกที่เต็มไปด้วยความสกปรก มืดมน ที่เต็มไปด้วยกลิ่นสาบรุนแรง และน่าสะพรึงกลัว ทำให้ไม่น่าแปลกใจนักที่คนส่วนใหญ่ย่อมเลือกที่จะหันไปนับถือพระเจ้า โดยหวังว่าสักวันหนึ่งตัวเองคงจะได้ไปอยู่ในสรวงสวรรค์
ในความเป็นจริงแล้ว เวทมนตร์ ถือว่าเป็นรูปแบบของประเพณีย่อยภายในศาสนาที่มีขนาดใหญ่ แต่กลับไม่ได้รับการยอมรับมากนัก เพราะศาสนาส่วนใหญ่มองว่าเป็นสิ่งที่ด้อยกว่าการสั่งสอนของนักบวช อย่างไรก็ตาม คงปฎิเสธไม่ได้ว่า หลายครั้งที่เวทมนตร์ปรากฏขึ้นในฐานะของ ความลึกลับ และปาฏิหาริย์ต่างๆ ล้วนแล้วแต่ช่วยเรียกความเลื่อมใสให้กับผู้คนที่สนใจในศาสนาอย่างมาก เช่น การพยากรณ์ ตายแล้วฟื้น หรือรักษาผู้คนด้วยการใช้เพียงมือสัมผัส เป็นต้น นอกจากนี้ การ “สวดภาวนา” “สวดมนตร์” หรือพิธีกรรมต่างๆของศาสนา โดยมีเป้าหมายเพื่อขอให้พระเจ้า เทวดา หรือพลังเหนือธรรมชาติใดๆ เข้ามาแทรกแซงธรรมชาติ รวมไปถึงกิจกรรมต่างๆของมนุษย์เอง ก็สามารถกล่าวได้ว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของการใช้เวทมนตร์ เช่นกัน
เวทมนตร์ หอกข้างแคร่ในการเผยแผ่ศาสนา
เมื่อศาสนามีบทบาทมากขึ้น นักเวทมนตร์จึงถูกมองว่าเป็นหอกข้างแคร่ และวิธีการกำจัดเสี้ยนหนามที่ดีที่สุดก็คือ การยัดข้อหาให้นักเวทมนตร์กลายเป็นพวกนอกรีต นอกศาสนา เพื่อที่จะได้มีความชอบธรรมในการสั่งกำจัด ด้วยการอ้างว่า คริสตจักร ได้รับหน้าที่สำคัญจากพระผู้เป็นเจ้าในการต่อสู้กับเหล่าปีศาจ และกองทัพลับของเหล่าแม่มดที่เป็นสาวกของซาตาน
หลายคนถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด เพียงเพราะพวกเขาเก็บแมวจรจัดมาเลี้ยง โดยหวังว่าพวกมันจะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว แต่นักล่าแม่มดกลับไม่คิดเช่นนั้น พวกเขามองว่าสัตว์เหล่านั้นเป็นสาวกของซาตาน ที่ถูกมอบมาให้กับแม่มดเพื่อเป็นผู้ช่วย ที่ปรึกษา และผู้รับส่งสารกับเหล่าปีศาจ ทำให้ผู้บริสุทธิ์มากมาย ต้องตกเป็นเหยื่อของอคติเหล่านี้ แล้วจบชีวิตไปอย่างสุดแสนทารุณ
เพื่อหลีกเลี่ยงจากการถูกกำจัดทิ้ง นักเวทมนตร์หลายคนได้ผันตัวเองไปเป็นนักบวชในศาสนาเหล่านั้น พร้อมกับใช้พลังเวทมนตร์เป็นสื่อกลางในการติดต่อสื่อสารระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ส่วนนักเวทมนตร์ที่เหลือได้หันหน้าเข้าสู่เส้นทางของเวทมนตร์ดำ และแสร้งทำเป็นว่ามีอำนาจสั่งการเหล่าปีศาจให้อยู่ในอำนาจได้ เพื่อเป็นการสร้างอำนาจและเกียรติยศให้กับตนเอง ในขณะเดียวกันคริสตจักรก็ได้จัดตั้งหน่วยไล่ล่า และศาลพิจารณาคดีลงทัณฑ์แม่มดขึ้นมาอย่างเป็นทางการ จนทำให้เกิดยุคแห่งการล่าแม่มดที่เต็มไปด้วยการจำกุม คุมขัง ทรมาน เนรเทศ และประหารอย่างเหี้ยมโหดจำนวนมากเสียจน ศพของผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด ถ้าหากนำมาสุ่มกองรวมกันอาจสูงเทียมภูเขาขนาดใหญ่ลูกหนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งศพส่วนใหญ่เหล่านั้น ก็มักที่จะเป็นเพศหญิงเป็นหลัก
ถึงแม้เหล่าพ่อมด แม่มด จะถูกปราบปรามอย่างหนักจากทางคริสตจักร การศึกษาไสยศาสตร์ เวทมนตร์ต่างๆ ก็ยังสามารถฟื้นตัวกลับมาได้ในช่วง ค.ศ. 15-17 และ การศึกษาได้เริ่มถูกระงับไป ในยุคแห่งความเฟื่องฟูของวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 17 อย่างไรก็ตาม ในศตวรรษที่ 18 ได้มีการพยายามฟื้นฟูไสยเวทย์กลับมาอีกครั้ง โดยเฉพาะในช่วงท้ายของศตวรรษที่ 19 โดยนาซีเยอรมัน ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง จนทำให้เกิดปรากฏการณ์ความสนใจในเวทมนตร์คาถาของคนทั่วโลกที่เพิ่มสูงมากขึ้น จนกระทั่งศตวรรษที่ 20 ได้มีการพัฒนาศาสตร์เวทมนตร์ขาว ที่ชื่อว่า “Thelema” ขึ้นมา โดยมีระบบการฝึกฝนอบรมทั้งทางด้าน “ร่างกาย” และ “จิตวิญญาน” ที่คนทั่วไปสามารถเข้าร่วมทำการฝึกฝนได้
อย่างไรก็ตาม การล่มสลายของลัทธิล่าแม่มด ไม่ได้จากฝีมือของกลุ่มคนคลั่งศาสนาที่ปราถนาการแก้ปัญหาด้วยความรุนแรง แต่เป็นความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์ และการศึกษา ที่ได้เข้ามายกระดับความรู้ของมนุษย์ เติมเต็ม แทนที่ความเชื่ออันงมงายในการใช้เวทมนตร์ จนกระทั่งปิดฉากประวัติศาสตร์เปื้อนเลือดของผู้บริสุทธิ์ในยุคกลางลงได้สำเร็จในที่สุด
ลัทธิล่าแม่มด
แต่น่าเสียดายนัก ที่ “ลัทธิล่าแม่มด” ได้ฝังรากลึกลงไปในสังคมของมนุษย์ คงอยู่มาอย่างยาวนานจนถึงทุกวันนี้ ทำให้มีการออกไล่ล่าคนนอกกลุ่ม ที่มีแนวคิดไม่เหมือนกับตัวเอง ทั้งในสังคมจริง และในออนไลน์ พร้อมกับปรักปรำ ใส่ร้าย มุ่งหมายทำลายชีวิตของเหยื่อไม่มีที่ยืนในสังคม ท่ามกลางการเฝ้ามองอย่างเงียบๆของคนในสังคม หลายคนสนุกสนานกับเหตุการณ์ดราม่าเหล่านี้ จนถึงขนาดลงไปร่วมวงล่าแม่มดด้วยราวกับคนไร้สติ ในขณะที่อีกหลายๆคน ก็ไม่กล้ายื่นมือเข้าไปช่วย เพราะเกรงว่าตัวเองจะกลายเป็นเหยื่อรายต่อไป สถานการณ์นี้ราวกับภาพของการล่าแม่มดในยุคกลางได้วนกลับมาฉายซ้ำอย่างไม่ผิดเพี้ยน แม้จะต่างยุคสมัยกันแต่สิ่งที่ไหลรินลงสู่พื้นดิน ก็ยังคงเป็นเลือด เสียงกรีดร้อง และน้ำตาของผู้บริสุทธิ์ อยู่เช่นเดิม
การหวนกลับมาของเกมสยองขวัญ Ad Infinitum หลังจากที่เงียบหายไปตั้งแต่ปี 2015