กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมทำให้กลายเป็น “เปรต”
“เปรต”... เป็นหนึ่งในผีที่คนไทยรู้จักกันดี ด้วยลักษณะร่างกายที่สูงเหนือต้นไม้ แขนยาว มือใหญ่เท่าใบลาน ผอมโซจนเห็นกระดูก ตาโปน ปากเท่ารูเข็ม พร้อมส่งเสียงหวีดร้องโหยหวน เดินเร่ร่อนท่ามกลางความมืดด้วยความทุกข์ทรมาน แต่ภาพฝังหัวเกี่ยวกับผีเปรตที่กล่าวถึงไปนั้น เป็นเพียงผีเปรตประเภทหนึ่งเท่านั้น เพราะที่จริงแล้วผีเปรตมีหลายชนิด แต่ละชนิดก็มีรูปร่างภายนอก และพฤติกรรมที่แตกต่างกันออกไป ส่วนเปรตจะมีกี่ประเภท และมีเรื่องราวที่น่าสนใจอย่างไรกันบ้างนั้น สามารถติดตามอ่านได้จากบทความชิ้นนี้กันได้เลย...
มารู้จักกับผีเปรต
ตามพจนานุกรม เปรต หรือ เปฺรต ในภาษาสันสกฤต มีความหมายว่า “ผู้ล่วงลับ หากอธิบายในทางพุทธศาสนา เปรตเป็น “อมนุษย์” ประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นในเปตวิสัย 1 ใน 4 อบายภูมิซึ่งความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องของเปรตนี้ ไม่ได้มีอยู่เพียงในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังปรากฏให้เห็นในหลายศาสนา ไม่ว่าจะเป็นพุทธ ฮินดู ซิกซ์ และเชน นอกจากเรื่องร่างกายที่สูงใหญ่อันเป็นเอกลักษณ์แล้ว ผีเปรตยังมีเสียงร้องหวีดคล้ายกับผู้หญิงที่กำลังกรีดร้อง ที่วังเวงเป็นอย่างมาก บ้างเชื่อว่าเสียงร้องของผีเปรตเหมือนกับเสียงคนนกหวีดที่แหบแห้ง ดังก้องไปมาในความมืด
วิบากกรรมที่ทำให้กลายเป็นเปรต
เปรตเกิดขึ้นจากวิบากกรรมหลายประเภท แต่โดยทั่วไปแล้วมักเกิดขึ้นจากสามสาเหตุ คือ ความโลภ ความเห็นแก่ตัว ทำร้ายบุพการี และความตระหนี่ขี้เหนียว จนกว่าจะสิ้นเวรกรรมที่ได้ทำเอาไว้ในครั้งเป็นมนุษย์จึงได้ไปเกิดในภูมิอื่น แต่โดยทั่วไปแล้วประเภทของผีเปรตตามเปตวัตถุอรรถกถา จะสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท ดังต่อไปนี้
1.ปรทัตตุปชีวิกเปรต คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ด้วยการรับอาหารเซ่นไหว้ และขอส่วนบุญจากมนุษย์
2.ขุปปีปาสิกเปรต คือ เปรตที่เต็มไปด้วยความอดอยาก หิวโหยอยู่ตลอดเวลา
3.นิชฌามตัณหิกเปรต คือ เปรตที่ร่างกายถูกไฟเผาผลาย จนทำให้เกิดความทุกข์ทรมานอยู่ตลอดเวลา
4.กาลกัญจิกเปรต คือ อุสรกายประเภทหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ในความเชื่อของชาวอีสาน ผีเปรต หรือ “ผีเผด” ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากการชดใช้วิบากกรมเหมือนกับที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ แต่เป็นการ “สืบทอด” ของผีเปรตตัวเดิมที่กำลังพ้นทุกข์ แล้วได้ไปผุดไปเกิด ทำให้มีผีเปรตตนใหม่มารับกรรมแทน โดยสามารถเห็นได้จากนิทานเรื่องพระมาลัย เรื่องราวของ “มิตตวินทุ” ลูกทรพีที่ทำร้ายแม่ของตัวเอง แล้วหนีออกจากบ้านไปเที่ยวกับเรือสำเภาจีน ก่อนที่เรือจะประสบพายุจนแตก มิตตวินทุว่ายน้ำไปติดเกาะแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยฝูงเปรตที่กำลังกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด มีกงจักรเฉือนบนหัวเลือดไหลอาบ และชักดิ้นชักงอ แต่มิตตวินทุกกลับเห็นว่าเปรตเหล่านั้นกำลังมีความสุขสนุกสนาน เลยเอ่ยปากขอเป็นผู้รับช่วงต่อ นำมาสู่คำพังเพยว่า “เห็นกงจักรเป็นดอกบัว” นั่นเอง
ประเภทของผีเปรต
ตามคัมภีร์โลกบัญญัตติปกรณ์ และ ฉคติทีปนีปกรณ์ ขึ้นอยู่กับวิบากกรรมที่เคยทำเอาไว้ในสมัยที่เป็นมนุษย์ โดยเชื่อว่า กาลครั้งหนึ่ง มีวิชาตประเทศ ตั้งอยู่เบื้องบนแห่งนรกขึ้นมา เป็นสถานที่อยู่อาศัยของเปรตทั้งหลาย โดยมี “มหิทธกาเปรต” เป็นผู้ปกครองเปรตทั้งปวง โดยเปรตได้ถูกแบบออกเป็น 12 พวก ดังต่อไปนี้
1.วันตาสาเปรต
ครั้งเป็นมนุษย์เปรตเหล่านี้ มีความตระหนี่ขี้เหนียว ไม่ยอมให้ทาน ให้อาหารคนอยากที่มาขอ และมักที่จะถ่มน้ำลายใส่ด้วยความรังเกียจ หรือเป็นคนที่ไม่ให้ความเคารพในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เคารพบูชา ด้วยการถ่มน้ำลายใส่สถานที่เหล่านี้ เมื่อกลานเป็นเปรต เมื่อเห็นมนุษย์ขากถมเสลดน้ำลาย อาเจียน ก็จะรีบเข้าไปดูดเอามาเป็นอาหารอันโอชะ
2.กุณปขาทาเปรต
ครั้งเป็นมนุษย์ มีความตระหนี่ขี้เหนียว หากมีคนมาขอบริจาคทานก็จะแกล้งให้ของที่ไม่เหมาะ ไม่ควรโดยเจตนาที่จะกลั่นแกล้ง เช่น ของบูดเน่าเสีย เป็นต้น ความไม่เคารพต่อการให้ทานผู้อื่นทำให้ตายไปกลายเป็นเปรต ที่ต้องตามหาซากศพคน หรือสัตว์ที่เน่าเสียกินเป็นอาหารด้วยความหิวโหย
3.คูถขาทาเปรต
ครั้งเป็นมนุษย์ เป็นคนที่ขี้เหนียว เมื่อมีคนมาขอความช่วยเหลือ ขออาหารประทังชีวิต ก็จะขับไล่ไส่ส่งให้ไปกินมูลสัตว์ พร้อมกับด่าทออย่างหยาบคาย ทำให้ตายไปกลายเป็นเปรตที่ต้องเที่ยวเสาะออกหาอุจจาระของสิ่งมีชีวิตมากินเป็นอาหาร
4.อัคคิชาลมุขาเปรต
ครั้งเป็นมนุษย์ เป็นคนขี้เหนียว เมื่อมีคนมาขอทานด้วยความกลัวเสียหน้าจึงให้แบบเสียไม่ได้ แต่แกล้งให้ทานเป็นของร้อนที่ไม่สามารถกินได้ เพื่อให้ผู้มาขอเกิดความเข็ดหลาบไม่กล้ามาขออีก เมื่อตายไปจะกลายเป็นเปรตที่มีรูปร่างผอมโซ มีเปลวไฟแลบออกมาจากปากตลอดเวลา สร้างความเจ็บปวดทรมาน เมื่อเจ็บปวดมากเข้าก็จะวิ่งร้องไห้ครวญครางอย่างน่าเวทนา
5.สุจิมุขาเปรต
ครั้งเป็นมนุษย์ เป็นคนที่มีความขี้เหนียวมาก ไม่ศรัทธาถวายทานให้กับผู้ถือศีล และหวงแหนสมบัติ ไม่เอื้อเฟื้อเผื่อให้กับผู้อื่น เมื่อตายกลายเป็นเปรตร่างกายจะผอมโซดำเกรียม จะมีมือเท้าทั้งสองข้างที่ใหญ่โต คอยาวมากกว่าปกติ ปากเท่ารูเข็ม แม้อยากกินอาหารก็ทำไม่ได้ ทำให้ทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส
6.ตัณหาชิตาเปรต
ครั้งเป็นมนุษย์ มีพฤติกรรมหวงแหล่งน้ำ ไม่เผื่อแผ่ให้คนอื่นได้ดื่มกิน เมื่อกลายเป็นเปรตจะเดินเร่ร่อนไปเรื่อยหาอาหาร เมื่อเห็นสระ บ่อ ห้วยหนอง ก็จะรีบวิ่งเข้าไปหวังดื่มกินด้วยความกระหาย แต่เมื่อวิ่งไปถึงกลับพบว่าไม่มี ทำให้เกิดความทุกข์จากความหิวข้าว หิวน้ำอยู่ตลอดเวลา
7.สุนิชฌามักกาเปรต
ครั้งเป็นมนุษย์มีใจหยาบช้า คิดว่าผู้ถือศีลจะมาขององตน จึงได้พยายามขับไล่ ทำให้ได้รับความอับอาย หรือพยายามกลั่นแกล้งให้พ่อแม่ที่แก่เฒ่าที่เห็นเป็นภาระให้เสียชีวิตโดยเร็ว เมื่อตายไปก็จะกลายมาเป็นเปรตที่มีรูปร่างคล้ายกับเสา หรือต้นไม้ที่ถูกไฟไหม้ มีกลิ่นเหม็นเน่า มือและเท้าเป็นง่อน มีฝีปากด้านบนห้อยทับริมฝีปากด้านล่าง ฟันยาว มีเขี้ยวออกมาจากปาก ผมเผ้ารกรุงรัง ยืนแข็งทื่ออยู่ติดกับที่ไม่ตระเวนเดินเร่ร่อนไปไหนเหมือนกับเปรตประเภทอื่น
8.สัพพังคาเปรต
ครั้งเป็นมนุษย์ มีนิสัยชอบการขูดรีดขูดเนื้อ เอาเปรียบผู้อื่น ชอบทำร้ายคู่ครอง บิดามารดาของตัวเองด้วยการข่วน หยิกให้บาดเจ็บ เมื่อตายไปจะกลายเป็นเปรตที่มีร่างกายใหญ่โต เล็บมือเล็บเท้านาวคมเหมือนกับมีดดาบ งองุ้มคล้ายกับตะขอ เปรตประเภทนี้จะก้มหน้าก้มตาทำร้านตัวเองด้วยการข่วนร่างกายจนขาดเป็นแผลลึก พร้อมกับดูดกินเลือดเนื้อเหล่านั้นเป็นอาหารด้วยความหิวโหย
9.ปัพพตังคาเปรต
ครั้งเป็นมนุษย์ มีพฤติกรรมชอบลอบเผาบ้าน โรงเรียน กุฎิ วิหาร เป็นต้น เมื่อกลายเป็นเปรต จะมีร่างกายที่ใหญ่เหมือนกับภูเขา มีควันลอยรอบกาย ถูกไฟเผาผลาญตลอดเวลาทำให้เกิดความทุกข์ทรมาน โศกเศร้าร้องไห้อยู่ตลอดเวลา
10.อชครเปรต
ครั้งเป็นมนุษย์ เป็นคนขี้เหนียว เมื่อมีผู้ถือศีลมาเยือนก็จะออกปากเปรียบเปรยว่าเหมือนกับสัตว์เดรัจฉานให้อับอาย ด้วยเหตุที่ไม่อยากให้ทาน เมื่อตายตกเป็นเปรตก็จะมีรูปร่างเหมือนกับสัตว์เดรัจฉาน เช่น งูเหลือม ม้า วัว ควาย เป็นต้น ในขณะเดียวกันร่างกายก็จะลุกไหม้เป็นไฟถูกเผาผลาญให้ทุกข์ทรมานตลอดเวลา
11.เวมานิกเปรต
ครั้งเป็นมนุษย์ เป็นผู้ที่มั่นทำบุญแต่กลับไม่รักษาศีล หรือรักษาอย่างเสียไม่ได้ ไม่ศรัทธาในเรื่องบาปบุญ เมื่อเป็นเปรตจะมีความแตกต่างจากเปรตประเภทอื่น เพราะมี “วิมานทอง” บางตนจะเสวยสุขราวกับเทวดาในตอนกลางวัน และรับความทุกข์ทรมานจากวิบากกรรมที่เคยทำเอาไว้ในตอนกลางคืนด้วยการกลืนกินเนื้อของตัวเอง
12.มหิทธิกาเปรต
ครั้งเป็นมนุษย์ ได้ทำการบวชเป็นพระภิกษุสามเณร พร้อมกับพยายามรักษาศีลของตัวเอง ทำให้มีรูปกายภายนอกในขณะเป็นเปรตงามภายนอกราวกับเทวดา แต่จากความเกียจคร้านไม่ได้บำเพ็ญธรรมตามความเหมาะสมของบรรพชิต ทำให้จิตใจถูกครอบงำด้วยความโลภ โกรธ หลง หรือคนที่ถวายสิ่งของกับผู้ทรงศีลเพื่อหวังเอาหน้า แต่ลับหลังกลับมาขอคืนเมื่อกลายเป็นเปรต ก็จะมีความอดอยากหิวโหยอยู่ตลอดเวลา เที่ยวตระเวนไปยังสถานที่ต่างๆด้วยการขี่ช้าง ม้า วัว ควาย และเต็มไปด้วยความหิวโหยเพื่อหาของเน่าเสีย มูลสัตว์สกปรกเป็นอาหาร
วิธีการป้องกันตัวเองไม่ให้ต้องกลายเป็นเปรต!
สำหรับการป้องกันตัวเองเพื่อไม่ให้ต้องกลายเป็นผีเปรต สามารถทำได้ไม่ยาก เพียงแค่ทำการประพฤติตัวเองอยู่ในศีลธรรม รู้จักการเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่น และให้ความเวทนาสงสารผู้ที่มาขอความช่วยเหลือ ช่วยบรรเทาความทุกข์ของพวกเขาเหล่านั้นด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ เพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องกลายมาเป็นผีเปรต นอกจากนี้ยังมีข้อพึงระวัง ที่ไม่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อป้องกันไม่ให้ต้องกลายเป็นผีเปรตโดยสรุป ดังต่อไปนี้
1.สนับสนุนคนท้องให้ทำแท้ง ทำร้ายเด็กในครรภ์
2.ขี้เหนียวไม่ทำบุญ ทำทาน และขัดขวางผู้อื่นไม่ให้ทำบุญ ทำทาน
3.ยึดเอาทรัพย์สินของศาสนา และส่วนรวมมาเป็นของตน
4.ยุยงให้หมู่คณะ และพระสงฆ์ให้เกิดความแตกแยก
5.จิตใจอิจฉาริษยาผู้ที่ดีกว่า ร่ำรวยกว่า และดูถูกคนที่ฐานะด้อยกว่า
6.ให้ร้าย สาปแช่ง คนที่ทำความดีให้กับสังคมและศาสนา
7.ใช้เล่ห์เหลี่ยมกลอุบายในการทำการค้า
8.ทำร้ายบิดา มารดา
9.พูดปดมดเท็จด้วยการสาบาน
10.ลอบขโมยกินของผู้อื่น แล้วสาบานว่าไม่ได้ขโมย
11.กลางคืนถือศีล กลางวันเป็นพราน
12.ทุจริต รับสินบน
13.ถวายภัตตาหารให้กับพระภิกษุสงฆ์ด้วยเนื้อหมา หรือสัตว์ที่มีเล็บ
14.จิตใจโหดร้าย ชอบข่มเหงรังแกคนยากจน
15.ตัดไม้ทำลายป่า
16.ทำบุญด้วยของเหลือเดน
17.นินทาว่าร้ายพระสงฆ์ และครูบาอาจารย์ของตัวเอง
สถานที่ที่เปรตมักปรากฏตัว
เปรตแต่ละประเภทก็จะมักที่จะมีสถานที่อาศัย และปรากฏตัวให้เห็นแตกต่างกันออดไป แต่โดยทั่วไปแล้วผีเปรตมักจะปรากฏตัวให้เห็นบริเวณวัด ท่องทุ่งเปลี่ยวไร้ผู้คน และทางแยก เป็นต้น
หากพบกับเปรตควรทำอย่างไร!?
โดยทั่วไปเชื่อว่าการที่เปรตปรากฏตัวออกมาให้เห็นเพื่อเป็นการขอส่วนบุญ ทำให้หลายครั้งมีเรื่องเล่าว่าผีเปรตเดินตามคนเหล่านั้นไปจนถึงบ้าน แต่ไม่ต้องตกใจไป เพราะเปรตไม่สามารถเข้าไปในบ้านได้ ตราบใดที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากผีบ้านผีเรือน และหากผีเปรตขวางหน้า คนสมัยโบราณแนะนำให้วิ่งฝ่าไปข้างหน้า ห้ามหันหลังวิ่ง เพราะผีเปรตจะมาดักหน้านั่นเอง
อีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมเมื่อเผชิญหน้ากับผีเปรต คือ ให้บอกกับผีเปรตว่า “ให้ไปผุดไปเกิด ไปสู่ที่ชอบๆ แล้วจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้” เพียงเท่านี้ก็จะช่วยทำให้ผีเปรตรู้สึกสบายใจที่จะได้รับส่วนบุญ แล้วไม่มายุ่มย่ามยุ่งเกี่ยวเพื่อขอส่วนบุญอีกต่อไป
เครื่องเซ่นที่เหมาะกับการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับผีเปรต
เชื่อกันมานานว่าการทำบุญอุทิศส่วนกุศล ส่วนใหญ่มักที่จะเป็นอาหารประเภทคาว หวาน และการถวายเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มให้แก่พระสงฆ์ เพื่อให้ผีเปรตที่มารับส่วนบุญไม่ต้องทนหนาวเปลือยกายล่อนจ้อน อย่างไรก็ตามอาหารเครื่องเซ่นที่ผีเปรตได้รับเพียงมื้อเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นก็ต้องร้องครวญครางด้วยความหิวโหยต่อไป ทำให้จำเป็นที่จะต้องทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้บ่อยครั้ง โดยทุกครั้งที่อุทิศส่วนกุศลต้องทำการกล่าว หรือออกนามของผีเปรต ผีไม่มีญาติ เพื่อให้ได้รับสิทธิ์ในการมารับส่วนบุญด้วย
การปรากฏตัวของผีเปรต ที่ได้รับความสนใจในประเทศไทย
สำหรับการปรากฏตัวของผีเปรตที่ได้รับความสนใจ และมีชื่อเสียงอย่างมากในประเทศไทย มีอยู่หลายเหตุการณ์เช่นกัน แต่ที่ได้รับความสนใจจนกระทั่งกลายมาเป็นข่าวที่ครึกโครมกันเป็นอย่างมาก มีดังต่อไปนี้
1.เปรตวัดสุทัศน์
เป็นเรื่องราวของผีเปรตที่เชื่อกันว่าปรากฏตัวให้เห็นตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ บริเวณวัดสุทัศน์ แต่ที่จริงแล้วเปรตวัดสุทัศน์ เกิดขึ้นมาจากภาพวาดที่มีชื่อเสียงภายในของพระอุโบสถ เป็นรูปของเปรตตนหนึ่งที่นอนทอดกาย และมีพระสงฆ์ยืนพิจารณาอยู่ ส่วนประเด็นเรื่องของเงาปริศนา คนในพื้นที่ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นมาอย่างยาวนานให้ความเห็นว่าเกิดขึ้นจากเงาของเสาชิงช้าที่อยู่บริเวณหน้าวัดในสายหมอกตอนเช้า
2.เปรตกู้
เรื่องราวของการบันทึกวิดิโอภาพของเปรตในจังหวัดอุดรธานี และยังมีปาฏิหาริย์ที่น่าสนใจมากมายเกิดขึ้นในผืนป่าแห่งนี้ แต่หลังจากที่ได้มีการตรวจสอบปรากฏว่าเรื่องราวของผีเปรตกลับเป็นเรื่องแหกตาด้วยฝีมือของ “อาจารย์กู้” ที่ได้ถูกจับกมข้อหาหลอกลวงประชาชน
ผีเปรตที่ปรากฏตัวในวรรณคดี
ผีเปรต เคยปรากฏตัวในวรรณคดีเรื่อง “ขุนช้างขนแผน” เป็นเรื่องราวหลังจากที่นางวันทองได้ถูกพระพันวษาสั่งประหารชีวิต แล้วได้กลายมาเป็น “ผีเปรตไร้หัว” เปรตนางวันทองได้ทราบข่าวว่าลูกชาย กำลังจะออกรบสู้กับขุนแผนผู้เป็นพ่อ เพื่อเป็นการห้ามทัพ นางได้แปลงเป็นสาวงามนั่งเล่นอยู่ชิงช้า ทำให้ลูกชายที่ชื่นชอบสาวงามเหมือนขุนแผนเข้ามาเกี้ยวพาราสี นางวันทองพยายามบอกลูกชายว่าตัวเองคือแม่ก็ไม่ยอมเชื่อ นางจึงแปลงกายกลับเป็นเปรตที่มีรูปร่างสูงใหญ่ ผอมโซจนหนังหุ้มกระดูก
บทสรุปส่งท้าย : เปรต กับความเชื่อที่ยากลบเลือนของชาวไทย
เปรต... เป็นสิ่งที่ฝังลึกอยู่ในความเชื่อของชาวไทย ถ้าหากใครอยากที่จะศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับเปรตอย่างละเอียด และสามารถมองเห็นลักษณะรูปร่างของเปรตประเภทต่างๆได้อย่างชัดเจนมากขึ้น สามารถทำการศึกษารูปปั้นของแดนเปรตได้ที่ วัดไผ่โรงวัว จ.สุพรรบุรี และศิลาจารึกการเปรียญ ณ วัดพระเชตุพนฯ ได้เช่นกัน