ราชินีแห่งหุบเขามรณะ (The Queen Of Death Valley) ตำนานธรรมชาติลงทัณฑ์คนบาป ด้วยความเลวร้ายยิ่งกว่าความตาย แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา
หุบเขาแห่งความตาย หรือ Death Valley เป็นหนึ่งในดินแดนที่มีสภาพอากาศแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ในตอนกลางวันมันร้อนจัด แห้งแล้งราวกับขุมนรก โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนที่อุณหภูมิโดยเฉลี่ยประมาณ 100 องศา ในขณะที่ตอนกลางคืนกลับมีอุณหภูมิที่ต่ำที่สุดในโลก ที่พร้อมสร้างความทุกข์ทรมานให้กับคนที่กล้าอาศัยอยู่ในสถานที่อันแสนเลวร้ายนี้เป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามชาวอเมริกันพื้นเมืองเผ่า “โชโชน” (หุบเขามรณะ) เรียกสถานที่แห่งนี้ว่าบ้าน และอาศัยอยู่ในดินแดนทะเลทรายแห่งนี้มาอย่างยาวนานนับพันปี และยังคงอาศัยอยู่มาจนถึงปัจจุบันนี้
ตำนานต้นกำเนิดของหุบเขามรณะ
ตามตำนานของชาวอินเดียนแดงเผ่าโชโชนโบราณ พวกเขาเรียกสถานที่แห่งนี้ว่า “Ground Afire” เดิมทีมันเคยเล่าขานกันว่าเดิมที่หุบเขาแห่งความตายนี้เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ มีน้ำพุตามธรรมชาติ ทะเลสาบขนาดใหญ่ ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ พืชพรรณสีเขียวชอุ่ม ในอดีตพวกเขาอาศัยอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำและทุ่งหญ้า พร้อมกับทำการเกษตรปลูกข้าวโพด ถั่ว พร้อมกับล่าสัตว์ที่อุดมสมบูรณ์อย่างมาก
ในช่วงแรกของประวัติศาสตร์ ชาวโชโชนได้รับการปกครองโดยราชินีที่งดงาม แต่กลับไร้ประโยชน์ เธอเรียกร้องหาพระราชวังหลังงามขนาดใหญ่มากกว่าที่ชาวแอซเท็กเคยสร้าง ในไม่ช้าเธอก็สั่งให้เกณฑ์ผู้คนมาสร้างพระราชวัง พวกเขาต้องขนหินอ่อน หินควอตซ์ไปยังสถานที่ก่อสร้างอันอยู่ห่างไกล พวกเขาพากันทำงานโดยไม่ปริปากบ่นอย่างหนักเพื่อให้เธอพอใจ โดยมองว่ามันเป็นหน้าที่ของตัวเอง
หลายปีผ่านไป การก่อสร้างที่ล่าช้าทำให้องค์ราชินีเกรงว่าตัวเองจะเสียชีวิตก่อนที่พระราชวังจะสร้างเสร็จ ถึงขนาดที่จับคนในครอบครัวไปทำงานด้วย หลังจากนั้นเผ่านี้ก็ค่อยๆกลายเป็นเผ่าทาว ราชินีเริ่มทำการโบยหลังเมื่อมีคนทำงานช้าลง เธอเฆี่ยนทุกคนด้วยแส้ ไม่เว้นแม้แต่ลูกสาวของตัวเอง เมื่อถูกตีหนักเข้าเจ้าหญิงจึงได้ทิ้งก้อนหินลง และหันไปสาปแช่งองค์ราชินีกับอาณจักรของเธอให้พบกับความพินาศย่อยยับ ก่อนที่จะล้มลงไปกับพื้นและเสียชีวิตจากความร้อน ความเหนื่อยล้าไปอย่างน่าเศร้า
วินาทีนั้นเอง ที่ราชินีได้ตระหนักว่าความโลภ และหลงใหลของตนเองได้ทำให้เกิดอะไรขึ้น มันทำให้เธอแทนที่วัฒนธรรมของเผ่าที่เดิมทีเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ เห็นคุณค่าของครอบครัวและความรักในธรรมชาติให้กลายมาเป็นดินแดนแห่งทาส ทำให้ผู้คนละทิ้งวิถีชีวิตที่เธอเคยรักมากที่สุดเอาไว้เบื้องหลัง
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าความเสียใจและความตระหนักรู้ของเธอจะมาถึงช้าจนเกินไป เมื่อธรรมชาติและผืนแผ่นดินไม่สามารถยอมรับความชั่วร้ายที่เธอกระทำได้ พระอาทิตย์จึงได้เพิ่มความร้อนแรง ส่งผลให้พืชพันธุ์เหี่ยวเฉา ลำธาร ทะเลสาบแห้งเหือดและสัตว์ป่าทั้งมวลได้พากันอพยพหนีไปจนหมด
หุบเขาที่เคยอุดมสมบูรณ์กลายมาเป็นทะเลทรายในเวลาเพียงไม่นาน ชนเผ่ามากมายเสียชีวิตจากความอดอยาก หลายคนหนีไปเพื่อตามหาดินแดนที่ดีกว่าคนแล้วคนเล่า จนกระทั่งเหลือเพียงราชินีและพระราชวังที่ถูกสร้างเสร็จแล้วครึ่งหนึ่ง หลังจากนั้นราชินีก็ล้มป่วย เมื่อปราศจากคนคอยดูแล เธอจึงเสียชีวิตอย่างเดียวดายในพระราชวังที่ว่างเปล่าและสร้างเสร็จเพียงครึ่งเดียว
ชาวโชโชนเชื่อว่า บางครั้งพระราชวังที่สร้างไม่เสร็จตลอดกาลจะปรากฏตัวขึ้นมาให้เห็นในความร้อนของทะเลทราย ราวกับมันถูกยกลอยขึ้นมาจากพื้น และในบางครั้งมันก็สามารถขยับได้เหมือนกับภาพลวงตาไปตามเส้นขอบฟ้า..
ตำนานสุนัขดำแห่งความตายที่คอยหลอกหลอนนักเดินทาง เกรตทราส (Gytrash) แห่งประเทศอังกฤษ
การมาเยือนของคณะบุกเบิกนักขุดทอง ผู้ตั้งชื่อ “หุบเขามรณะ”
หลังจากถูกปล่อยให้กลายเป็นดินแดนแห่งความว่างเปล่ามาอย่างยาวนาน ในที่สุดก็มีคณะผู้ตามหาทองคำ 49 คน ได้เดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ พร้อมกับเปลี่ยนชื่อดังเดิมให้กลายเป็น “หุบเขามรณะ” เป็นเวลาหลายปีหลังจากนั้น ที่เชื่อกันฝังหัวว่าไม่มีมนุษย์หน้าไหนที่สามารถเดินทางข้ามหุบเขามรณะได้สำเร็จ เพราะม้าหรือสัตว์แบกหามทั้งหมดจะขาจะจมลงไปในฝุ่นทรายลึกจนถึงหัวเข่า ดินแดนนี้ปราศจากแหล่งน้ำ ในขณะที่ความร้อนสูงก็จะทำลายทุกสิ่งมีชีวิตจนกระทั่งสิ้นซาก
มีการสันนิษฐานว่ามีซากศพจำนวนมากของผู้ที่ไม่ตระหนักถึงความเป็นจริงอันโหดร้าย ถูกฝุ่นทรายกลบใบหน้าอยู่ที่ราบทางตะวันออกของภูเขาแห่งความตาย ซึ่งเป็นจุดที่มีหินสีขาวที่สามารถมองเห็นได้จากระยะไกลตั้งตระหง่านอยู่ มันเรียบเนียนเหมือนกับแผ่นป้ายเตือนอะไรบางอย่าง ทำให้ชาวอินเดียนแดงเชื่อว่าสิ่งที่พรากวิญญาณของเหล่าผู้เคราะห์ร้าย คือฝีมือวิญญาณเหล่าพี่น้องของพวกเขา
ในปัจจุบัน.. หุบเขามรณะยังคงเป็นสถานที่ที่มีสภาพอากาศเลวร้ายมากที่สุดของโลกและยังคงตกสำรวจเป็นอย่างมาก แต่ชาวอินเดียนแดงพื้นเมืองเผ่าโชโชนหลายสิบคนก็ยังคงอาศัยอยู่ โดยดัดแปลงที่อยู่อาศัยแบบโดมให้สายลมเย็นสามารถลอดผ่านได้ พร้อมกับปลูกพืชและล่าสัตว์เพื่อเอาชีวิตรอดได้อย่างแสนน่าทึ่ง...