สุสานเซนต์หลุยส์ (St. Louis Cemetery) เมืองแห่งความตาย กับเรื่องราวสยองขวัญนับพันเรื่องของประเทศสหรัฐอเมริกา
สุสานเซนต์หลุยส์ (St. Louis Cemetery) ถูกสร้างขึ้นโดยชาวสเปนในปี 1789 นอกจากจะเป็นสุสานที่เก่าแก่ที่สุดของนิวออร์ลีนส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้คนยังเชื่อกันว่ามันเป็นสุสานที่มีผีสิงมากที่สุดแห่งหนึ่งประเทศอีกด้วย
ประวัติศาสตร์ของสุสานเซนต์หลุยส์
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 สุสานเซนต์ปีเตอร์ (ในปัจจุบันไม่มีสุสานนี้อยู่แล้ว) ที่เป็นสุสานเก่าแก่ของเมืองได้เริ่มเต็ม และการพัฒนาเขตที่อยู่อาศัยของเมืองก็ได้ขยายมาจนถึงขอบรั้วของสุสาน ทำให้จำเป็นที่จะต้องจัดหาสถานที่ฝังศพแห่งใหม่
เหล่าผู้บริการเมืองจึงได้วางแผนที่จะสร้างสุสานแห่งใหม่ให้อยู่ไกลจากแหล่งชุมชน เพราะกลัวว่าอาจจะเกิดโรคติดต่อจากศพจะแพร่ระบาดไปในเขตที่อยู่อาศัย เมื่อพิจารณาปัจจัยหลายประการ ในที่สุดพื้นที่แอ่งน้ำที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลบนถนนเซนต์หลุยส์จึงได้รับการคัดเลือก เพราะราคาที่ดินค่อนข้างถูกกว่าที่อื่น
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากนิวออร์ลีนส์มีปัญหาในเรื่องของน้ำบาดาลสูง ทำให้หลุมฝังศพทั้งหมดจึงต้องทำเหนือพื้นดิน มีการติดตั้งช่องฝังศพแบบสเปนตั้งแต่แบบเรียบง่ายไปจนถึงแบบยิ่งใหญ่ที่มีรั้วรอบขอบชิดจนดูเหมือนกับบ้านหลังเล็ก ๆ
หลังจากนั้น สุสานเซนต์หลุยส์ก็ได้รับชื่อเล่นว่า “เมืองแห่งความตาย” โดยนักเขียนชื่อดัง “มาร์ก ทเวน” เพราะจากอายุของมันที่ยาวนาน สุสานที่ผุพังแตกร้าว ก้อนหินปูพื้นที่หลุดหายไปตามวันเวลา กลายมาเป็นความงดงามแห่งความตายที่เพิ่มมนต์ขลังให้กับสถานที่มากยิ่งขึ้น
เมื่อสุสานเริ่มถูกก่อกวนมากขึ้นจากนักท่องเที่ยว หรือเหล่านักล่าท้าผี ทำให้สุสานเซนต์หลุยส์ปิดให้บริการในปี 2015 ทำให้คนที่อยากมาเยี่ยมชมจะต้องมากับมัคคุเทศน์ของบริษัทที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
ราชินีวูดูแห่งนิวออร์ลีนส์ Marie Laveau
หนึ่งในวิญญาณที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของสุสานเซนต์หลุยส์ คือ “Marie Laveau” หรือที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในชื่อของราชินีวูดูแห่งนิวออร์ลีนส์ หญิงชาวครีโอรีฟ ผู้เป็นลูกสาวนอกสมรสของชายผิวสีกับมารดาชาวครีโอล
นักประวัติศาสตร์เชื่อว่า แม่และย่าของเธอเป็นผู้ฝึกฝนเวทมนตร์วูดูและเป็นหมอยาสมุนไพร ทำให้เมื่อเธอเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เธอจึงได้ดำเนินรอยเท้าก้าวตามในการศึกษาหมอดู ไสยศาสตร์ วูดูและสมุนไพร พร้อมกับผสมผสานกับแนวคิดของศาสนาคริสต์ แอฟริกันและวัฒนธรรมของเธอ
ในไม่ช้าเธอก็ประสบความสำเร็จและคำพูดของเธอก็ได้แพร่กระจายไปทั่ว พร้อมกับชื่อเสียงทั่วเมืองในฐานะราชินีวูดู และเธอยังคงครองตำแหน่งดังกล่าวจนกระทั่งเสียชีวิตในปี 1881 ด้วยวัย 86 ปี แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ มีคนอ้างว่าได้เห็นเธอ หลังการเสียชีวิตเพียงไม่กี่วัน
กว่า 130 ปี หลังการเสียชีวิต ยังคงมีผู้คนอ้างว่าได้เห็นร่างของเธอ ในรูปร่างที่เหมือนกับหมอกเดินไปตามทางเดินของสุสาน พร้อมกับสวมผ้าโพกหัวสีแดงและสีขาวที่เป็นเหมือนกับเครื่องหมายการค้าประจำตัว หลายคนพยายามติดตามไป แต่ร่างนั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
บางคนเล่าว่าได้ยินเสียงเธอพึมพำคำสาปวูดูแบบดั้งเดิมขณะที่กำลังเดินไปตามสุสาน บางครั้งเสียงคำสาปก็ดังมากจนถึงขนาดได้ยินออกมานอกหลุมศพ มีคนอีกจำนวนมากที่เห็นเธอโผล่ออกมาจากหลุมศพของตัวเอง และดูเหมือนเธอจะมักอารมณ์เสียในขณะที่กำลังเดินไปมา
นอกจากนี้ ยังมีการพบเห็นเธอในสถานที่อื่นทั่วถนน French Quarte ส่วนใหญ่มักจะสถานที่ที่เธอเคยอาศัยอยู่ แน่นอนว่ามีหลายคนที่ไม่เชื่อในเรื่องนี้ แถมยังเยาะเย้ยวิญญาณ ศาสนาและความเชื่อของเธอ จนกระทั่งนำมาซึ่งรายงานเกี่ยวกับร่องรอยขีดข่วนตามร่างกาย ถูกบีบ หรือถูกผลักจากพลังที่มองไม่เห็นจนล้มคว่ำลงไปกับพื้นดิน
ยังมีรายงานเหนือธรรมชาติอีกหลายอย่างที่เกิดขึ้นในขณะอยู่ใกล้กับหลุมฝังศพของเธอ เช่น ความรู้สึกเหมือนกับมีคนมาสัมผัส อาการเจ็บป่วยอย่างไม่ทราบสาเหตุ เสียงประหลาดจากหลุมศพ เป็นต้น แถมยังมีข่าวลือว่าบางครั้ง ดวงวิญญาณของเธอปรากฏตัวในรูปกายของแมววูดูสีดำขนาดใหญ่ ดวงตาสีแดงเหมือนเพลิง
ยังเชื่อกันอีกว่า เธอได้เลี้ยงงูขนาดใหญ่ที่มีชื่อว่า “Zombi” เอาไว้ ในตอนที่เสียชีวิต งูดังกล่าวได้ถูกนำมาฝังเอาไว้พร้อมกับเธอ เสียงเล่าลือกันว่าจนทุกวันนี้มันก็ยังคงเฝ้าหลุมฝังศพอยู่ด้วยความจงรักภักดี บางครั้งก็มีผู้พบเห็นงูขนาดใหญ่เลื้อยไปรอบห้องใต้ดินหรือนอนอาบแดดอยู่บนหลุมฝังศพของเธออีกด้วย
ข่าวลือเหล่านี้เอง ที่ทำให้หลุมฝังศพของเธอ กลายมาเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่มีผู้เดินทางมาเยี่ยมเยือนเป็นจำนวนมาก พร้อมกับนำเทียน ดอกไม้ ตุ๊กตาวูดูและลูปปัดมาวางเอาไว้ที่หลุมศพของเธอเพื่อเป็นการขอพร
ดวงวิญญาณของ Henry Vignes
วิญญาณอีกดวงหนึ่งที่หลอกหลอนสุสานแห่งนี้คือ Henry Vignes กะลาสีเรือในช่วงศตวรรษที่ 19 ส่วนใหญ่แล้วเขาใช้ชีวิตเร่ร่อนไปทั่วท้องทะเล แต่ก็มีสุสานของครอบครัวอยู่ในนิวออร์ลีนส์ เมื่อกลับขึ้นฝั่งเขาก็ได้พักในหอพักแห่งหนึ่ง
ก่อนการเดินทางออกทะเลเป็นครั้งสุดท้าย เขาได้ฝากฝังเอกสารสำคัญเอาไว้กับเจ้าของหอพัก แต่เมื่อกลับมาจากทะเล เขากลับพบว่าเธอได้ขายหลุมฝังศพที่ควรเป็นสถานที่พักผ่อนอย่างสงบของเขา ก่อนที่จะฟ้องร้องจนได้รับความยุติธรรม เขากลับล้มป่วยเสียชีวิตไปเสียก่อนและถูกฝังเอาไว้ในหลุมศพไร้นามสำหรับคนยากไร้
เชื่อกันว่าหลังจากนั้นกว่าศตวรรษ เขายังคงเดินเตร่ไปทั่วสุสานเซนต์หลุยส์เพื่อตามหาหลุมฝังศพของครอบครัว คนที่อ้างว่าได้พบเขามักอธิบายว่าเขามีรูปร่างสูง ตาสีฟ้า สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและดูเหมือนคนที่กำลังหลงทาง แต่ก็ยังคงดูมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก
บางครั้งเขาก็จะถามคนที่มาเยี่ยมสุสานว่ารู้จักหลุมฝังศพของตระกูล Vignes หรือเปล่า!? บางครั้งเขาก็แตะบนบ่าและถามผู้มาเยี่ยมสุสานว่ารู้เกี่ยวกับสุสานแห่งนี้บ้างไหม!? บางครั้งเขาก็ปรากฏตัวขึ้นที่งานศพในสุสาน โดยถามผู้กำลังไว้อาลัยว่ามีที่ว่างในหลุมฝังศพให้เขาหรือไม่!? แต่คำพูดที่มักจะได้ยินบ่อยที่สุดเกี่ยวกับเรื่องเล่าของเขาคือ “ฉันต้องการพักผ่อน!”
วิญญาณของอัลฟองเซ่ (Alphonse)
อีกหนึ่งดวงวิญญาณที่ดูเหมือนจะกำลังหลงทาง เป็นที่ทราบกันดีกว่าเขาจะเข้ามาหาผู้เยี่ยมสุสานอย่างเป็นมิตรและขอให้ช่วยหาทางกลับบ้านให้ บางครั้งเขาก็ปรากฏตัวขึ้นหลายครั้งเพื่อรวบรวมดอกไม้จากหลุมฝังศพอื่นนำไปวางไว้บนหลุมฝังศพของตัวเอง
เชื่อกันว่าเขาน่าจะถูกฆาตกรรมหรือทรยศจากสมาชิกสักคนในตระกูล Pinead เพราะเขามักที่จะเตือนผู้คนให้อยู่ห่างจากหลุมฝังศพดังกล่าว และถึงแม้ส่วนใหญ่แล้วเขาจะยิ้มเข้าหาผู้คนอย่างเป็นมิตร แต่ก็ยังคงแสดงอาการกระสับกระส่าย สุดท้ายก็จะเริ่มร้องไห้ก่อนที่จะหายตัวไป
นอกจากวิญญาณที่โดดเด่นที่ได้กล่าวถึงไปแล้วในตอนต้นของสุสานเซนต์หลุยส์ ยังมีรายงานอีกนับพันเกี่ยวกับปรากฏการณ์ผีหลอกวิญญาณหลอน ทั้งสิ่งที่ดูเหมือนกับปีศาจ ทหารในเครื่องแบบ เหยื่อที่เสียชีวิตจากโรคไข้เหลืองและร่างปริศนามากมายที่โผล่มาให้เห็นทั้งกลางวันและกลางคืนอีกด้วย...
เรื่องราวอาถรรพ์มากมายเหล่านี้เอง ที่ทำให้สุสานเซนต์หลุยส์ สมกับสมญานามของ “เมืองแห่งความตาย” อย่างแท้จริง..
มารู้จักกับ 20 รูปผีปลอมที่พลาด!!! ในการสร้างไวรัล มีรูปไหนน่าสนใจบ้าง มาทำความรู้จักกัน