อมรณา สารานุกรมแห่งความตาย อมรณา สารานุกรมแห่งความตาย
Ads
  • เรื่องผีสั้นๆ
  • หนังสยองขวัญ การ์ตูนผี และเพลงต้องสาป
  • เกมผี เกมสยองขวัญ

เปิดม่านยุคมืดเปื้อนเลือดแห่งการล่าแม่มด

  • 31-03-2023
  • กาลนาน
  • 3,206
Line borderless Line borderless
เปิดม่านยุคมืดเปื้อนเลือดแห่งการล่าแม่มด

เปิดม่านยุคมืดเปื้อนเลือดแห่งการล่าแม่มด

            ในช่วงศตวรรษที่  15-17 ที่ความมืด และความเชื่อในไสยศาสตร์มนต์ดำปกคลุมไปทั่วทวีปยุโรป และอาณานิคมอเมริกายาวนานกว่า 300 ปี ในช่วงเวลาที่อำนาจสูงสุดในการปกครองผู้คน อยู่ภายในมือของคนเพียงหยิบมือภายในคริสตจักร “แม่มด” ถูกประกาศให้เป็น “สัญลักษณ์แห่งความชั่วร้าย” ข้ารับใช้ของปีศาจ สมุนของซาตาน และเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดภัยพิบัติ โรคระบาด รวมไปถึงเหตุการณ์เหนือธรรมชาติต่างๆที่อธิบายไม่ได้ขึ้น ด้วยคำประกาศอันสุดโต่งนี้เอง ที่ทำให้เกิดการไล่ล่าฆ่าแม่มดขึ้นกันอย่างแพร่หลายไปทั่วโลก เหยื่อส่วนใหญ่ที่พลอยรับเคราะห์ครั้งนี้ส่วนมากมักเป็นผู้หญิง โดยเฉพาะหญิงชราที่อาศัยอยู่ลำพัง โดยการใช้หลักเกณฑ์ตัดสินที่เลื่อนลอย ปราศจากหลักฐานที่ชัดเจน ว่าพวกเขาเคยใช้เวทมนตร์ทำร้ายมนุษย์จริงๆ แถมหลักฐานมัดตัวส่วนใหญ่ ล้วนแล้วแต่เกิดจากคำสารภาพคนที่ถูกทรมาน จนยอมรับผิดเพื่อที่จะได้หลุดพ้นจากความเจ็บปวดอันสุดแสนสาหัสเท่านั้น

            การล่าแม่มดในยุคกลาง จึงเสมือนเป็นรอยด่างเลือดอันน่าชัง ที่แปดเปื้อนติดแน่นอยู่บนหน้าประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติหากพิจารณากันตามหลักเหตุผลแล้ว การล่าแม่มดในครั้งนั้น เป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อปลุกระดมให้ผู้คนลุกขึ้นมาเข่นฆ่าผู้ที่ต่อต้าน หรือนับถือศาสนาอื่น ที่ไม่ใช่ชาวคริสตจักรเท่านั้น

            ถึงแม้การล่าแม่มดจะเริ่มแพร่หลายในช่วงปลายศตวรรษที่ 14 ในความเป็นจริงแล้ว การต่อต้านแม่มดและคุณไสย เริ่มขึ้นตั้งแต่ก่อนยุคกลางเสียอีก ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจน ได้แก่ เรื่องราวที่ถูกบันทึกเอาไว้ในคัมภีร์ไบเบิล  ที่มีการกล่าวถึงคำพูดของโมเสส (Moses) ผู้ประกาศว่า “เขาจะกำจัดแม่มดออกไปให้สิ้น” ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นเจตนารมณ์ที่แข็งกร้าวของศาสนาคริสต์ต่อเหล่าแม่มด ตั้งแต่กาลก่อน

เหตุการณ์สำคัญ ที่ทำให้เกิดการล่าแม่มดอย่างจริงจัง เริ่มต้นจากการที่มีผู้วิเศษคนหนึ่งออกมากล่าวหาว่า พระเยซู ไม่ได้ต่างอะไรกับผู้วิเศษคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีอำนาจสูงสุดเหมือนกับที่คริสต์ศาสนาได้กล่าวอ้าง นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาองค์กรทางศาสนาก็ได้ทำการประณามผู้วิเศษ รวมไปถึงแม่มด ในโทษฐานแสดงความขัดแย้งต่อพลังอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า

ในศตวรรษที่ 5 นักบวชชาวคริสเตียนนามว่า เซนต์ ออกัสติน แห่งฮิปโป (St. Augustine of Hippo) ปลุกปั่นว่า เวทมนตร์ และศาสนาอื่นๆ (ยกเว้นคริสต์ศาสนา) ถูกคิดค้นขึ้นมาโดยปีศาจ ที่ต้องการล่อลวงให้มนุษย์เอาใจออกห่างจากการนับถือศาสนาคริสต์ อย่างไรก็ตาม ในยุคนี้ แม่มด ยังไม่ได้ถูกมองว่ามีอำนาจเหนือธรรมชาติใดๆ เพราะยังคงเชื่อกันอย่างบริสุทธิ์ใจว่า อำนาจทั้งปวงเป็นของพระผู้เป็นเจ้าเพียงผู้เดียว เมื่อแม่มด ไม่ได้มีอำนาจใดๆ ทางคริสตจักรจึงไม่ได้กังวล ว่าจะถูกสร้างความเสียหาย หรือต่อต้านด้วยเวทมนตร์ คาถา จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตามล่า จับกุม มาสอบสวนแต่อย่างใด ความเชื่อนี้ ยังคงได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางยาวนานหลายศตวรรษ ทำให้เหล่าแม่มด ยังคงรอดพ้นความซวยมาได้โดยสวัสดิภาพ

 

การล่าแม่มดในศตวรรษที่ 7-8

ในช่วงศตวรรษที่ 7 คริสตจักรได้เริ่มมีการตรากฎหมายต่อต้านเวทมนตร์ และภาษาละติน โดยระบุว่าความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นจากสิ่งเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับปีศาจ ถือเป็นอาชญากรรมต่อสังคม และเป็นบาปต่อพระผู้เป็นเจ้า หลังจากนั้นสภา Leptinnes ได้ทำ “รายการแห่งโชคลาภ” ที่ผู้นับถือศาสนาคริสต์ต้องพึงกระทำ เพื่อละทิ้งเส้นทางในการบูชาปีศาจ กระทั่งกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของพิธีล้างบาปของผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ในเวลาต่อมา

อย่างไรก็ตาม ในตำนานยุคกลาง ได้มีการกล่าวถึงจอมเวท ที่มีอำนาจในการควบคุมสภาพดินฟ้าอากาศบัลดาลให้เกิดพายุได้อย่างใจนึกที่เรียกว่า “Tempestarii” ดังนั้น คนที่มีชื่อเกี่ยวกับสภาพอากาศมักได้รับความเคารพ หรือเกลียดชังอย่างมากในเขตชนบท แต่เจ้าหน้าที่ของคริสตจักรจะไม่ทำการยุ่งเกี่ยวกับคนเหล่านี้ เพราะเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงอนุญาตให้ปีศาจ และแม่มด ดำเนินการกระทำเหล่านี้ เพื่อเป็นการลงโทษที่มนุษย์ทำลายธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม การสวดภาวนาให้กับผู้วิเศษเหล่านี้เป็นเรื่องต้องห้าม ชาวบ้านจะต้องทำการสวดภาวนาด้วยนามของพระเจ้าเท่านั้น

ค.ศ.820 บิชอปแห่งลียง และคนอื่นๆ ปฎิเสธความเชื่อที่ว่า แม่มดสามารถทำให้เกิดสภาพอากาศที่เลวร้าย เหาะเหินเดินอากาศในช่วงกลางคืน และแปลงกายเปลี่ยนรูปร่างให้กลายเป็นสัตว์ต่างๆ ต่อมา เซนต์ โบนิเฟส ได้ประกาศว่าแม่มดมีตัวตนอยู่จริง ในฐานะของ “คนนอกศาสนา” เมื่อเวลาล่วงไปถึงช่วงต้นของศตวรรษที่ 9 กษัตริย์แห่งประเทศฝรั่งเศส ได้สนับสนุนให้มีโทษ “ตาย”แก่แม่มด ด้วยการเผาทั้งเป็น

 

การล่าแม่มดในศตวรรษที่ 12

ค.ศ. 1208 สมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ ที่ 3 (Pope Innocent III) เป็นผู้เปิดม่านการโจมตีกลุ่มคนนอกรีต ที่รู้จักกันในชื่อของ “Cathars” ที่มีความเชื่อว่า โลก ตกอยู่ในสงครามของผู้ถือครองอำนาจสองฝ่าย คือ “พระเจ้า” และ “ซาตาน” ที่กำลังต่อสู้กันด้วยพลังเหนือธรรมชาติ คริสตจักร ต้องการทำลายความเชื่อของคนกลุ่มนี้ ด้วยการกระจายเรื่องราวเชิงลบว่า กลุ่มนอกรีตเหล่านี้ ทำการบูชาเทพที่ชั่วร้าย และมีพิธีกรรมบูชาปีศาจ ทำให้คนกลุ่มนี้จำนวนมากต้องอพยพหลบหนีข้อกล่าวหา ไปยังประเทศเยอรมันนี และประเทศซาวอย ที่อยู่ใกล้เคียง

ค.ศ. 1230 คริสตจักรได้พยายามสร้างบทลงโทษคนนอกรีต และบังคับให้พวกเขาเปลี่ยนความเชื่อให้กลับมายังอ้อมแขนของคริสต์ศาสนาอย่างรวดเร็วมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ สมเด็จประสันตะปาปา เกรกอรี่ ที่ 9 (Pope Gregory IX) ได้ทรงมอบหมายหน้าที่ในการดำเนินการดังกล่าวแก่กลุ่มสอบสวน ให้มีอำนาจอย่างเต็มที่

ค.ศ.1252 สมเด็จพระสันตะปาปา อินโนเซนต์ ที่ 4 (Pope Innocent IV) ได้ให้อำนาจในการทรมานแม่มด แก่คณะผู้ทำการสอบสวน และในที่สุดคนทั่วไป ก็เริ่มเข้ามามีส่วนร่วมในการประหัตประหารเหล่าแม่มด (อย่างสนุกสนาน) ไปทั่วทวีปยุโรป

 

การล่าแม่มดในศตวรรษที่ 13

            เรื่องราวของแม่มด เริ่มโด่งดังและกลายมาเป็นที่สนใจของผู้คนในช่วงศตวรรษที่ 13 เหตุการณ์แรก ที่คนกลุ่มถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด และถูกประหารหมู่โดยการเผาทั้งเป็น คือ  “Order of Knight Templar”  อันเป็นคราวซวยของเหล่าอัศวินผู้พิทักษ์ศาสนา หรือ “Templar Knight” ที่พึ่งเดินทางกลับมาจากสงครามครูเสด ในช่วงต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 13 พร้อมความมั่งคั่งจากทรัพย์สินที่ยึดมาได้จากข้าศึกอย่างมากมาย เมื่อกลับถึงฝรั่งเศส กษัตริย์ฟิลิปส์ที่ 4 ทรงริษยาในความมั่งคั่งร่ำรวยของอัศวินเหล่านี้ จึงได้คิดแผนการ “ฮุบสมบัติ” มาไว้เป็นของพระองค์เอง โดยใช้ข้ออ้างว่าอัศวินเหล่านี้ เป็นพวกนอกรีต จับกุมมาสอบสวน ทรมานด้วยการขึงพืด เมื่อสิ้นสุดการสอบสวน อัศวิน 54 คน พร้อมหัวหน้าอัศวินที่ถูกเรียกว่าแกรนด์มาสเตอร์ถูกพิพากษาให้เผาทั้งเป็น

ในช่วงเวลาเดียวกัน  ชาวเมืองอัลบิ  ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส เกิดความเบื่อหน่ายในศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก และเริ่มหันไปแสวงหาสัจธรรมใหม่จากลัทธิที่ชื่อว่า “คาธารี” ทำให้ศาล ที่สนับสนุนโดยพระสันตะปาปา แห่งคริสต์ศาสนา ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดทั้งในด้านการเมืองและด้านศาสนาในขณะนั้น ได้มีคำพิพากษาให้ สอบสวน และกำจัดพวกนอกรีตอัลโบเจนเซียน หรือชาวเมือง อัลบิ โดยเริ่มต้นจากการสนับสนุนให้มีเจ้าหน้าที่เข้าไปทำการก่อกวนสอบสวนพวกอัลโบเจนเซียนอยู่บ่อยๆ

            การเปลี่ยนศาสนาไปรับถือลัทธิอื่น เป็นสิ่งที่พระสันตะปาปาแห่งกรุงโรมไม่สามารถยอมรับได้ ในที่สุดได้มีการส่งกองทัพ ที่เรียกว่าคณะผู้ปราบปราม มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “สำนักศักดิ์สิทธิ์” (INQUISITION) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยองค์สันตะปาปาประกอบด้วยทหารม้า 20,000 นาย และทหารเดินเท้าอีก 2000,000 นาย เข้าปราบปรามชาวเมืองอัลบิ ในปี ค.ศ.1214 ผู้ชายชาวเมืองอัลบิถูกจับแขวนคอ ผู้หญิงและเด็กถูกก้อนหินปาใส่จนกระทั่งสิ้นใจ รวมไปถึงการทำลายบ่อน้ำที่ใช้ในการอุปโภคบริโภคในเมืองจนหมดสิ้น เรียกได้ว่าเป็นการกวาดล้างชาวเมืองอัลบิ เพื่อ “เชือดไก่ให้ลิงดู” แบบถอนรากถอนโคนออกจากแผนที่ของฝรั่งเศสไปเลยทีเดียว

            หลังจากทำการปราบปรามชาวเมืองอัลบิจนสิ้นเมืองแล้ว คณะผู้ปราบปรามผู้สะสมทักษะการล่ามนุษย์จนเก่งกาจ คงเกรงว่ากำลังพลของตนจะว่างงาน จึงได้หันความสนใจไปเป็นการล่าเหล่านอกรีต ที่ถูกเรียกว่าแม่มดแทน ทำให้เกิดการล่าแม่มดอย่างเป็นระบบ และแพร่หลายขึ้นในทวีปยุโรป โดยเริ่มจากการใช้วิธีพื้นๆ อย่างการปรักปรำว่าเป็นแม่มด มาใช้เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ไปเป็นจำนวนมากในที่สุด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ถูกเรียกว่า “ความหวาดผวาแม่มด” (The Great Witch Panic) ใครที่ถูกจับกุมตัวในข้อหาต้องสงสัยว่าเป็นแม่มดแล้ว ก็แทบจะหมดหวังที่จะรอดชีวิตกลับมาครบทั้งสามสิบสองประการ

ค.ศ.1335 มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นที่เมืองตูลูส ประเทศฝรั่งเศส บันทึกของคณะลูกขุนอ้างความเชื่อของบรรดาเหล่าหญิงที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดว่า จ้าวปีศาจมีอำนาจเทียบเท่ากับพระเจ้า และยังเป็นผู้ปกครองที่แท้จริงของโลกใบนี้ หญิงเหล่านี้ได้สารภาพว่าได้ทำสัญญากับซาตาน และมีเพศสัมพันธ์กับปีศาจที่แปลงร่างมาในร่างแพะตัวผู้ นอกจากนี้ยังได้ทำการดูหมิ่นพิธีรับศีลศักดิ์สิทธิ์ (Holy Communion) ตามคำบัญชาของซาตาน และเคยสมาคมกับแม่มดคนอื่นๆในวันแซมบัท

 

การล่าแม่มดในศตวรรษที่ 14

ค.ศ.1428-1447 บริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของฝรั่งเศสและสวิส ขุนนางแห่งซาวอย เปิดฉากการล่าแม่มด โดยเริ่มจากผู้ถูกกล่าวหาที่พูดภาษาฝรั่งเศส ในเวลาไม่นาน การสอบสวนก็ลามไปถึงคนที่พูดภาษาเยอรมันวาลลิส (ภาษาเยอรมันที่นิยมพูดกันในเขตเทือกเขาแอลป์) และหุบเขาบริเวณใกล้เคียง มีผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นจอมขมังเวทย์ครั้งแรกสามคน ด้วยข้อหาว่า คนเหล่านั้น บินผ่านอากาศ ปล้นไวน์ แปลงเป็นมนุษย์หมาป่าแล้วทำการสังหารวัว สาปแช่งเหยื่อให้ตาบอดด้วยการใช้สมุนไพร ใช้เวทมนตร์ให้เกิดอาการอัมพาธ เจ็บป่วย และโรคระบาด ลักพา สังหารและกินเด็กเป็นอาหาร รวมไปถึงการเข้าร่วมประชุมกับซาตาน หลังจากการสารภาพ ด้วยการทรมานจนยอมรับสารภาพ พวกเขาถูกนำไปเผาทั้งเป็น แต่จำนวนของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อการสอบสวนในครั้งนี้ คาดว่ามีอย่างน้อย 367 คน การล่าแม่มดในครั้งนี้ เป็นเพียงจานเรียกน้ำย่อยกลุ่มแรกก่อนที่จะมีการล่าแม่มดอย่างจริงจังในทวีปยุโรป

ค.ศ.1441 ในประเทศอังกฤษ ดัชเชส แห่งกลูเชสเตอร์ (Duchess of Gloucester) ได้ถูกตัดสินให้มีความผิดในโทษฐานมีความเชื่อและฝักใฝ่ในลัทธิแม่มด จากการว่าจ้างแม่มดนามว่า เมอร์เจอรี ยัวร์เดอเมน (Margery Jourdemain) ให้ทำคุณไสยทำร้ายกษัตริย์ เฮนรี่ ที่ 6 (Henry VI) ด้วยการใช้เข็มหมุดแทงที่รูปเหมือนของพระองค์ เนื่องจากต้องการลอบปลงพระชน เพื่อให้สามีของดัชเชส แห่งกลูเชสเตอร์ ได้ขึ้นครองราชย์แทน แต่แผนกลับรั่วไหลออกไปเสียก่อนทำให้แม่มด เมอร์เจอรี ถูกจับตัวไปทรมานอย่างหนัก ก่อนที่จะถูกนำไปเผาทั้งเป็น ส่วนตัวดัชเชส แห่งกลูเชสเตอร์ ผู้วางแผน ได้ถูกลงโทษด้วยความอัปยศเป็นอย่างมาก ด้วยการเดินเท้าเปล่าถือเทียนแห่งความสำนึกผิดไปบนถนนในลอนดอน ในสภาพเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่ง พร้อมกับถูกประชาชนทั้งสองข้างถนนโห่ร้อง เย้ยหยัน สาปแช่ง เป็นเวลากว่า 3 วัน เต็มๆ ก่อนที่จะถูกนำตัวไปคุมขังตลอดชีวิต อยู่ในปราสาทบนหมู่เกาะ แมน (Man) ที่ห่างไกล

            ค.ศ. 1459 มีการไต่สวนในข้อหาแม่มดครั้งใหญ่ขึ้น ที่เมืองอาราส มีผู้เคราะห์ร้ายจำนวนมากถูกเผาหมู่ทั้งเป็นในที่สาธารณะ ท่ามกลางสายตาของชาวบ้านที่มารอเฝ้าดูนับพันคน การล่าแม่มดขนานใหญ่ในยุโรป ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

 ค.ศ.1484 เป็นยุคที่การล่าแม่มดพัฒนาจนถึงขีดสุด พระสันตะปาปา อินโนเซนต์ที่ 8 (Innocent VIII) ได้ออกแถลงที่โด่งดัง และเป็นการเปิดม่านยุคสมัยแห่งการล่าแม่มดของยุโรป อย่างยาวนานกว่า 300 ปี โดยมีคำแถลงดังต่อไปนี้

“เราเพิ่งได้ยินเรื่องนี้มา เราเจ็บปวดด้วยความเศร้ารันทดและขมขื่น มีหลายคนได้ละทิ้งเรา แล้วหันหน้าเข้าหาปีศาจ พวกมันได้ใช้เวทมนตร์ คุณไสย และคำสาปแช่งอื่นๆสังหารทารกของมนุษย์ ทำลายปศุสัตว์ สร้างความเหี่ยวเฉาให้กับพืชผล คนต่ำช้าเหล่านี้ ยังสร้างความเจ็บปวดและทรมาน พวกมันเหยียดหยามพระผู้เป็นเจ้า และสร้างความน่าอดสูและอันตราย เช่นนี้แล้ว ด้วยอำนาจแห่งสาวกพระเยซู เราขอมอบอำนาจให้กับผู้สอบสวน ในการตัดสินโทษ คุมขัง และลงโทษ…”

พระสันตะปาปา อินโนเซนต์ที่ 8 เชื่อว่า ซาตานในประเทศเยอรมันนี กำลังทำการชุมนุมเหล่าปีศาจ เพื่อร่ายมนตร์ที่สามารถทำลายพืชผล และทำให้ทารกในครรภ์มารดาแท้ง พร้อมกับมองว่า นักบวชของศาสนาคริสต์ในขณะนั้น ไม่ได้ตระหนักถึง “ภัยคุกคาม” จากเวทมนตร์อย่างจริงจังเพียงพอ

พระสันตะปาปา “บลู” (Papal Bull) แห่งสศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก ได้ทำการกำหนดโทษของผู้ที่นอกรีต และฝักใฝ่ในไสยศาสตร์ โดยทำการประกาศว่า ผู้ใดก็ตามที่ไม่ใช่สมาชิกของศาสนา แต่ปฏิบัติพิธีกรรม การใช้เวทมนตร์ คาถา และมีพลังที่เหนือธรรมชาติ ถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับปีศาจซาตาน พลังที่ได้รับมา ไม่ได้มาจากพระผู้เป็นเจ้า แต่มาจากซาตาน รวมทั้งประกาศห้ามนักบวช ประชาชน เข้ามาขัดขวางการทำงานของคณะไต่สวน ในคดีที่เรียกว่า “ความเสื่อมทรามของพวกนอกรีต” (Heretical Depravities)

ในปี ค.ศ. 1486 องค์กรทางศาสนาได้พยายามเผยแพร่ และสร้างภาพลักษณ์ศัตรูของพระเจ้าให้เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนขึ้น โดยที่ศัตรูที่ว่าก็คือเหล่าคนนอกศาสนา ซึ่งรวมไปถึงเหล่าแม่มด พ่อมดด้วย โดยมีพระคาทอลิก 2 รูป นาม “ไฮน์ริช เครเมอร์” อดีตเจ้าหน้าที่สอบสวนจากแคว้นไทรอล และ “เจคอบ สเปรงเกอร์” ชาวอิตาลี ได้ช่วยกันทำ “คู่มือการล่าแม่มด” (Malleus Maleficarum) หรือที่แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า “Hammer of Witches” มีเนื้อหายาวประมาณ 250,000 คำ เป็นการรวบรวมข้อมูล และวิธีการต่างๆในการจับกุม ทรมาน รวมไปถึงการประหารเหล่าแม่มดทั้งหลายอย่างถูกต้อง ซึ่งประเทศต่างๆในทวีปยุโรปในขณะนั้น ได้ยึดเอาหนังสือเล่มนี้เป็นดั่งคัมภีร์ในการล่ากำจัดแม่มดเป็นเวลายาวนานกว่า 200 ปี 

 

การล่าแม่มดในศตวรรษที่ 15

เมื่อเวลาล่วงเลยเข้าสู่ราวศตวรรษที่ 15 ได้เกิดการสอบสวน ทรมาน และเข่นฆ่าแม่มดครั้งใหญ่ขึ้นอย่างกว้างขวางในทวีปยุโรป…

ช่วงต้นของศตวรรษที่ 15 ในประเทศอังกฤษ ได้มีการออกกพระราชบัญญัติควบคุมการใช้คาถาอาคมโดยเฉพาะ ขึ้นมาเป็นฉบับแรกของโลก โดยเชื่อว่าแม่มด เป็นเผ่าพันธุ์ที่สร้างบาปให้กับโลก ยกเว้นแต่ว่าแม่มดเหล่านั้นจะทำการกลับใจ ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะถูกจับกุม และถูกเผาทั้งเป็น

ในปี ค.ศ. 1503 ปี แอกเนส วอเตอร์เฮาส์  (Agnes Waterhouse) เป็นผู้หญิงคนแรกที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด ในประเทศอังกฤษ พร้อมกับ ลิซาเบธ ฟรานซิส และ โจแอนนาว วอเตอร์เฮอร์ ลูกสาวของเธอเอง ทั้งสามคนมาจากเมืองเดียวกัน  โดยถูกกล่าวหาว่าคบหากับซาตานที่อยู่ในรูปลักษณ์ของแมว บ้างว่าเป็นคางคก หรือสุนัขสีดำ และอ้างอีกว่าครอบครัวของเธอ แก้แค้นเพื่อนบ้านที่ไม่ถูกกัน โดยการใช้พลังของซาตานทำให้สัตว์เลี้ยงในไร่ตาย นอกจากนี้ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาการป่วย และการตายของสามีเธอเอง ในท้ายที่สุด แอกเนส ถูกตัดสินให้ประหารชีวิต โดยการแขวนคอ นำไปสู่ยุคมืดในการล่าผู้บริสุทธิ์ในฐานะแม่มดเป็นจำนวนมากของประเทศอังกฤษ และสภาของอังกฤษ ได้ผ่านกฏหมายการล่าสังหารแม่มด ด้วยความเห็นชอบของ พระราชินี อลิซาเบธ ที่ 1 (Queen Elizabeth I) ในปี ค.ศ. 1563 ยิ่งส่งเสริมให้การล่าแม่มด เป็นไปอย่างคึกคักมากยิ่งขึ้น

ค.ศ.1505-1521 ในประเทศอิตาลี การล่าแม่มดครั้งใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นใน Val Camonica บริเวณเทือกเขาแอลป์ ด้วยคำสั่งของ Giacinto Gaggia บิชอป แห่งเบรชชา มีผู้เสียชีวิตจากการสอบสวนครั้งนี้ มากกว่า 120 คน แม่มดประมาณ 60 คน สารภาพว่า ได้ใช้เวทมนตร์ทำให้สัตว์บาดเจ็บ และสาปแช่งที่ดินให้แห้งแล้งด้วยความช่วยเหลือของซาตาน หลังจากนั้นได้มีการจับกุมแม่มดเพิ่มเติม ในข้อหาการแพร่กระจาย “ผง” จากซาตาน ในอากาศทำให้มีคนเจ็บป่วย และเสียชีวิตกว่า 200 คน หลังจากนั้น ก็มีข้อกล่าวหาอื่นๆตามมา ด้วยการทำให้เกิดฟ้าร้อง ฟ้าผ่า พายุหมุน ทำให้มีผู้ชาย และผู้หญิงกว่า 60 คน ถูกเผา ในเดือนกรกฏาคม ค.ศ.1518

การสอบสวนแม่มดในศาลที่ถูกออกแบบเป็นพิเศษ เริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1530 ด้วยการออกแบบศาลที่สามารถลดทอนพลังอำนาจของแม่มดให้น้อยลง ตามคำแนะนำจากหนังสือคู่มือการล่าแม่มด เพื่อลดโอกาสที่แม่มดเหล่านั้นจะใช้เวทมนตร์ทำร้ายเจ้าหน้าที่ ในสมัยนี้เอง ที่วิธีการสอบสวนแบบสุดโหด ไม่ว่าจะเป็นการใช้ของปลายแหลม “ทิ่มแทง” หรือจับ “ถ่วงน้ำ” ถือกำเนิดขึ้น การทรมานแม่มด เพื่อให้ได้มาซึ่งคำสารภาพ กลายเป็นสิ่งธรรมดาที่ได้รับยอมรับ พร้อมกับมีการตีแผ่เรื่องราวสุดสยองของแม่มดไปยังสาธารณชนอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็น วันชุมนุมแม่มด เซ็กหมู่ และการลักพาตัวเด็กทารกไปทำการบูชายันต์ให้กับซาตาน การขี่ไม้กวาดบินไปในเวลากลางคืน การครอบครองปีศาจ และการใช้คาถาสาปแช่ง เป็นต้น ในขณะเดียวกัน นักล่าแม่มดในยุคนี้ ก็ได้รับเกียรติอย่างมากจากคนทั่วไป ชนิดที่ว่ายิ่งล่าแม่มดได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้รับการยกย่องมากเท่านั้น

ปี ค.ศ.1515 เจ้าหน้าที่ในกรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอแลนด์ เผาผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดทั้งเป็นกว่า 500 คน

ปี ค.ศ. 1526 ณ เมืองโคโม ประเทศอิตาลี ความหวาดกลัวเวทมนตร์ของแม่มด ทำให้มีการประหารคนที่ต้องสงสัยว่าเป็นแม่มด เป็นจำนวนมากถึง 1,000 คน

ปี ค.ศ. 1571 ในประเทศฝรั่งเศส ได้มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแม่มดกว่า 100,000 คน ทั่วประเทศ

ปี ค.ศ. 1580 Jean Bodin นักกฎหมายแนวปรัชญาการเมือง ชาวฝรั่งเศส ได้เขียนหนังสือชื่อ “On the Demon-Mania of Sorcerers” ขึ้น และกลายมาเป็นต้นแบบในการหาพยาน หลักฐาน และเป็นคู่มือสั่งสอน แนะนำ วิธีการทรมานผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแม่มดอย่างแสนสาหัส

ปี ค.ศ. 1581 - 1591 การล่าแม่มดครั้งใหญ่ที่สุดในยุโรป เกิดขึ้นในภาคตะวันตกของประเทศเยอรมันนี โดยเริ่มต้นจากคณะสงฆ์ในชนบท และแพร่กระจายไปยังเขตเมือง จนกระทั่งทำให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 368 คน ด้วยฝีมือของ Johann von Sch’neburg ที่ได้สั่งกวาดล้างคนสามกลุ่ม ได้แก่ ชาวยิว ชาวโปรเตสแตนต์และแม่มด การสอบสวน ทรมานคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกชนชั้น เกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย คนมากมายถูกเผาทั้งเป็นในฐานะแม่มด ใน 22 หมู่บ้าน รวมไปถึงคนชั้นสูงที่หนังสือต่อต้านการล่าแม่มด ต่อให้พวกเขาเป็นผู้พิพากษาก็ตาม ก็ไม่วายถูกจับกุมทรมาน แล้วประหารด้วยการแขวนคอ หรือเผาทั้งเป็นเช่นกัน

เพื่อเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีให้กับเหล่าแม่มดมากยิ่งขึ้น หนังสือเกี่ยวกับปีศาจได้ถูกพิมพ์ขึ้น เพื่อให้คนในยุคกลางสามารถเข้าใจถึงลักษณะของปีศาจอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น มีการวาดรูปประกอบของปีศาจขึ้นด้วยฝีมือของพี่น้องลิมเบอร์ก (Limbourg) โดยบรรยายลักษณะของปีศาจเอาไว้ว่า มีเขา มีหาง มีเท้าเป็นกลีบ ปีศาจยังสามารถจำแลงกายออกมาได้ในลักษณะอื่นๆ เพื่อหลอกลวง และชักนำผู้ที่มีจิตใจอ่อนแอไปทางที่ผิด ดังนั้น ใครก็ตามที่ชี้นำทางให้กลุ่มคนเกิดความเชื่อที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนา คนผู้นั้นย่อมเป็นสาวกของปีศาจไปโดยปริยาย

คนกล้าหาญบางคนได้พยายามลุกขึ้นมาแย้งว่า ข้อกล่าวหาและหลักฐานต่างๆที่ระบุว่าคนเหล่านั้นเป็นแม่มดไม่สมเหตุสมผล อย่างเช่น ชาวสก็อตแลนด์ นาม เรจินัล (Reginald) ทำการพิมพ์หนังสือ “The Discoverie of Witchcraft” โดยพยายามพิสูจน์ว่า แม่มด ที่แท้จริงจะไม่ทำการอวดเปิดเผยว่าสามารถใช้เวทมนตร์ได้ ทำให้ชาวสก็อตแลนด์เชื่อว่า การดำเนินคดี และหลักฐานต่างๆ แบบที่เคยเป็นมาล้วนเบาบางเลื่อนลอย ทำให้เกิดการยกเลิกระบบการสืบสวนแบบคริสเตียน แล้วให้คริสตจักรโรมัน ให้เป็นผู้รับผิดชอบแทน แต่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ที่สำเนาของหนังสือเล่มนี้ถูกไฟไหม้ทั้งหมด ในปี ค.ศ.1603

ค.ศ.1589 – 1593  เริ่มต้นการล่าแม่มดในประเทศอังกฤษ อลิซ ซามูเอล และครอบครัว ในหมู่บ้านวอร์บอย เมื่อเด็กน้อยวัยสิบขวบ Jane Throckmorton ลูกสาวของ Robert Throckmorton กล่าวหาว่า อลิซ ซามูเอล วัย 76 ปี เป็นแม่มด และได้ทำการสาปแช่งครอบครัวของเธอ เพราะน้องสาวทั้งสี่ และคนรับใช้ ล้วนแล้วแต่มีอาการผิดปกติคล้ายกัน  หลังจากนั้นเซอร์แฮรี่ ครอมเวล และเลดี้ ครอมเวล สองสามีผู้มั่งคั่งได้เดินทางมาเยี่ยวมครอบครัว Throckmorton ในเดือนมีนาคม ค.ศ.1590 เลดี้ ครอมแวล ใช้กรรไกรตัดผมของ อลิซ ซามูเอล แล้วทำการเผาทิ้งตามความเชื่อพื้นบ้านว่าจะทำให้อำนาจของแม่มดอ่อนลง ตกดึกคืนนั้น เลดี้ ครอมเวล ฝันร้าย จากนั้นล้มป่วยจนเสียชีวิต ใน ค.ศ.1592 ทำให้ อลิส ซามูเอล ถูกจับกุมมาสอบสวนอย่างหนัก หลังจากยอมรับสารภาพทั้งน้ำตา เธอ ลูกสาว และสามี ได้รับโทษข้อหาฆาตกรรม ในเดือนเมษายน ค.ศ.1593 เลดี้ครอมเวล ทั้งหมดถูกพิพากษาให้แขวนคอ

 ปี ค.ศ. 1590 เริ่มต้นประวัติศาสตร์การล่าแม่มดในสก็อตแลนด์ เมื่อพระเจ้าเจมส์ ที่ 6 อนุญาตให้สามารถทำการทรมานเหล่าผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแม่มด ซึ่งการอนุญาตสุดโหดนี้เกิดขึ้นเมื่อพระเจ้าเจมส์ ได้เดินทางไปแต่งงานกับเจ้าหญิงแอน แห่งประเทศเดนมาร์ก แล้วเกิดพายุรุนแรงขึ้นระหว่างการเดินทางกลับ กัปตันเรือได้กล่าวหาว่าแม่มดเป็นผู้ทำให้เกิดขึ้น ทำให้พระเจ้าเจมส์เกิดความหวาดระแวงในอำนาจของเหล่าแม่มดขึ้น ทั้งที่ในความเป็นจริง พระเจ้าเจมส์ ในตอนแรกค่อนข้างผ่อนปรนต่อเรื่องเวทมนตร์เป็นอย่างมาก

หลังจากนั้นพระเจ้าเจมส์ ได้ทรงทราบว่าจะเกิดแผนลอบปลงพระชนม์ขึ้น โดยฝีมือของ เอิร์ล แห่งโบธเวลล์ โดยการใช้คุณไสยของแม่มดเป็นเครื่องมือ ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแม่มดอย่างน้อย 70 คน ทางภาคใต้ของสก็อตแลน ถูกจับกุมว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มของแม่มด ที่ชื่อว่า “Auld Kirk Green” คำสารภาพที่เฉพาะเจาะจงอ้างว่า ในวันฮาโลวีน ค.ศ.1590 กลุ่มแม่มดได้การขุดซากศพ นำข้อต่อมากมาย และอวัยวะภายใน ไปทำการโยนลงไปในทะเลเพื่อเรียกพายุ จนเกือบทำให้เรือของกษัตริย์เจมส์เกือบอับปาง เพราะเชื่อกันว่าพระเจ้าเจมส์ คือ ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขา แต่คำสารภาพของทุกคนเต็มไปด้วยพิรุธ และดูเหมือนว่าจะเกิดขึ้นจากการทรมานเพื่อให้รับสารภาพเสียมากกว่า

ในช่วงเวลาเดียวกัน ข้าราชการสาว นามว่า กิล ดันแคน ในเมืองเล็กๆ ใกล้เมืองอีเดนเบิร์ก ถูกจับกุมเพราะต้องสงสัยว่าใช้เวทมนตร์ในการรักษาคนอื่นๆอย่างน่าอัศจรรย์ แน่นอนว่าช่วงแรกเธอ ปฎิเสธหัวชนฝา แต่หลังจากการทรมานอย่างยาวนาน และค้นพบสัญลักษณ์ของปีศาจบนคอ ในที่สุดเธอยอมสารภาพว่าได้ขายวิญญาณให้กับซาตาน และการรักษาทั้งหมดล้วนแล้วแต่จะส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยในภายหลัง นอกจากนี้ เธอยังได้ให้รายชื่อผู้สมรู้ร่วมคิดคนอื่นๆ รวมทั้ง ดร.จอห์น เฟรนส์, แอกแนส ซิมพ์สัน, บาบาร่า เนเปียร์, ฟรานซิล สจ๊วด และ อุลฮีเมีย คลีน เป็นต้น ในท้ายที่สุดกิล ถูกลงโทษด้วยการเผาทั้งเป็น

 จากการสักทอดนี้เอง นำไปสู่การจับกุม หัวหน้าแม่มด แอกเนส ซิมพ์สัน (Agnes Simpson) ถูกนำมาพิจารณาดีในข้อหากบฏ ที่นอร์ธ เบอร์วิก (North Berwick) หลังจากที่ถูกทรมาน อย่างโหดร้ายจากฝีมือของคิงเจมส์ด้วยตัวเอง ในพระราชวังโฮลี่โรดเฮาส์ เธอถูกมัดติดกับเครื่องมือทรมานที่เรียกกันว่า “Witch's Bridle” ที่มีเหล็กแหลมสี่ง่ามใส่เข้าไปในปาก เหล็กสองง่ามจะกดนิ้ว อีกสองง่ามจะดันแก้มเอาไว้ เธอถูกทรมานจนไม่ได้หลับนอน จนในที่สุดต้องยอมรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา แอกเนสได้สารภาพถึงกรรมวิธีต่างๆที่ใช้ เพื่อพยายามลอบปลงพระชนต์ แต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากพระเจ้าเจมส์ ทรงเป็นสาวกของพระผู้เป็นเจ้า ทำให้อำนาจของปีศาจไม่สามารถทำอันตรายได้ นอกจากนี้ เหล่าผู้ที่ถูกเชื่อว่าให้ความร่วมมือกับแอกแนส เช่น  ดร.จอห์น เฟรนส์ ก็ถูกทรมานอย่างแสนสาหัสไม่น้อยหน้ากัน เล็บทั้งหมดของเขาถูกดึงทิ้ง แล้วใช้เข็มขนาดใหญ่แทงเข้าไปเนื้ออ่อนที่โคนเล็บจนครบทุกนิ้ว

 เหล่าแม่มดที่ถูกจับได้ในครั้งนั้นทั้งหมดถูกประหารโดยการเผาทั้งเป็นที่ เอดินเบิร์ก พร้อมกับผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแม่มดอีกหลายสิบคน และหลังการประหารครั้งสำคัญนี้ ได้ทำให้มีผู้ถูกจับกุม หรือถูกสังหารอีกราว 3,000 – 4,000 คน ในข้อหาแม่มดในประเทศสก็อตแลนด์ ในช่วง ค.ศ.1560-1701 แม่มดกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความชั่วร้าย ที่สมควรต่อการล่าทำลายให้สิ้นซาก ความเชื่อที่ว่าแม่มดคือเหล่าคนนอกรีตผู้ชั่วช้า หลังจากนั้น อังกฤษได้มีการไล่ล่าแม่มด และเผาผู้ต้องสงสัยทั้งเป็นไปอีกกว่า 1,000 ราย

กว่า 160 ปี ระหว่าง ค.ศ.1500-1600 ในทวีปยุโรป มีคนกว่า 50,000 – 80,000 คน ถูกจับกุมตัวฐานต้องสงสัยว่าเป็นแม่มด กว่า 80% ของผู้เสียชีวิตเป็นเพศหญิง

 

การล่าแม่มดในศตวรรษที่ 16

การล่าแม่มดมาถึงจุดสูงสุดในทวีปยุโรป ในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 จนกระทั่งถึงตอนต้นของศตวรรษที่ 17 อย่างไรก็ตามการล่าแม่มดที่ได้กระจายไปยังอีกฟากหนึ่งของมหาสมุทรแอตแลนติก ไปยังทวีปอื่นๆ ทั่วโลก

ในศตวรรษที่ 16 เกิดการระบาดของอาการ “เสพติดการล่าผู้ใช้เวทมนตร์” ขึ้นทั่วโลก

ค.ศ.1600 การล่าแม่มดในเขต บาบารีย ในประเทศเยอรมันนี ครอบครัวหนึ่ง ประกอบด้วย พอลลัส, แอนนา และบุตรชายสองคน ชนชั้นล่างของประเทศที่ประกอบอาชีพเป็นขอทาน ถูกจับในช่วงกลางดึก ด้วยข้อหาขโมย และฆาตกรรมสตรีเพื่อชิงทารกในครรภ์ พวกเขาถูกทรมานอย่าแสนสาหัสเพื่อให้รับสารภาพ รวมไปถึงข้อกล่าวหาเกี่ยวกับอาชญากรรมอื่นๆ  ที่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถปิดคดีได้ ในที่สุดพวกเขาก็ยอมรับสารภาพว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจรกรรม และฆาตกรรมนับร้อยคดี รวมถึงเผยรายชื่อผู้สมรู้ร่วมคิดอีกกว่า 400 คน

พอลลัส, แอนนา และบุตรชายคนโต ถูกนำมาทรมานอย่างเปิดเผยในที่สาธารณะ ร่วมกับผู้ชายอีกสองคน โดยปล่อยให้ลูกชายคนเล็กเฝ้าดูการถูกทรมานของครอบครัวตัวเอง จากนั้นนายอำเภอได้นั่งเขียนปฎิกริยาของเด็กชายอย่างใจเย็น พวกเขาถูกทรมานด้วยการใช้เหล็กย่างไฟทาบลงบนร่างกายหกครั้ง หน้าอกของแอนนาถูกตัดออก แล้วนำไปลูบไล้ใบหน้าของลูกชายคนโต จากนั้นจึงถูกนำไปทุบให้กระดูกในร่างกายแตกละเอียดบนกงล้อ ก่อนที่พอลลัสจะถูกลากไปเสียบด้วยหอก และในที่สุดทั้งหมดก็ถูกเผาทั้งเป็น ต่อมาในปีเดียวกัน มีผู้ถูกกล่าวหาอีก 6 คน  ถูกเผาทั้งเป็นใน Mnich เหตุการณ์สุดเลวร้ายในประเทศเยอรมันนี ม่านหมอกแห่งความบ้าคลั่งในการล่าสังหารแม่มด ได้ปกคลุมไปทั่วทวีปยุโรป

ปี ค.ศ. 1604 กษัตริย์เจมส์ ที่ 1 (King James I) แห่งประเทศอังกฤษ ระบุว่าการใช้เวทมนตร์ เป็นสิ่งที่มีความผิดทางอาญา และเปลี่ยนจากการจับกุม สอบสวน แม่มดจากเดิมที่ทำกันในศาลทางศาสนา ให้มาอยู่ในการควบคุมดูแลของศาลทั่วไป

ค.ศ.1608 มีการล่าแม่มดในประเทศเดนมาร์ก จนทำให้เกิดการเผาหมู่ผู้หญิงประมาณ 15-20 คน  เริ่มต้นจากการกล่าวหาที่เต็มไปด้วยความคลุมเครือ และข่าวลือเป็นหลักว่า Johanne Thomes เป็นแม่มด เพราะซาตานได้ส่งบางอย่างมาที่บ้านของเขา จนทำให้ลูกชายของเธอกลายเป็นคนพิการ เป็นต้น ระหว่างการพิจารณาคดี พยานหลายคนอ้างว่าหลังจากที่ได้โต้เถียงกับเธอ พวกเขามีอาการเจ็บป่วยอย่างน่าประหลาดขึ้นกับตัวเอง และแม่บ้านของเธออ้างว่า ถูกเธอบังคับให้ปัสสาวะลงในชามฟาติมาภายในโบสถ์ หลังจากถูกจับกุม ในที่สุดเธอก็รับสารภาพ และบอกว่ายังมีผู้หญิงอีก 4 คน ที่มีความเกี่ยวข้องกับเวทมนตร์ รวมไปถึง Mette Banghors ที่สารภาพในภายหลัง ว่าได้พบกับปีศาจที่แปลงกายมาในรูปร่างของหนู คำสารภาพเหล่านี้ ทำให้ทั้งสองคนถูกลงโทษด้วยการเผาทั้งเป็น หลังจากนั้นได้มีการตามล่าแม่มดอย่างดุเดือด จนทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งฆ่าตัวตายในคุก อีกคนหนึ่งฆ่าตัวตายเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังจะถูกจับกุม

ค.ศ.1609 เกิดคดีแม่มดแห่งบาสก์ ประเทศที่ตั้งอยู่ติดกับภาคเหนือของประเทศสเปน จนนำไปสู่การจับกุม และดำเนินคดีเกี่ยวกับเวทมนตร์ ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เรื่องราวเริ่มต้นในเดือนมกราคม ในเขต Labourd โดย Pierre de Lancre และหลังจากสิ้นปีนั้น มีคนกว่า 7,000 ราย ถูกตรวจสอบการใช้เวทมนตร์ เชื่อกันว่า รายงานการสืบสวนเฉพาะที่มีหลักฐาน มีจำนวนการบันทึกเอาไว้กว่า 11,000 หน้า เลยทีเดียว ผู้กระทำความผิดส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง แต่มีบางส่วนเป็นเด็ก และนักบวช หลังจากสอบสวนที่กินเวลากว่าหนึ่งปี มีการประหารผู้ที่ถูกตัดสินว่าผิดจริงราว 12 คน ด้วยการเผาทั้งเป็น  อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้นมีอีก 5 คน ที่เสียชีวิตไปก่อนแล้วในขั้นตอนการทรมาน

การดำเนินการสอบสวน ได้ทำการรวบรวมพยาน และหลักฐานต่างๆ เพิ่มเติม จนเชื่อว่ามีลัทธิของแม่มดเกิดขึ้น และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในประเทศบาสก์ พร้อมกับพบว่า แม่มดส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับ Zugarramurdi ใกล้กับชายแดนฝรั่งเศส ใกล้กับแหล่งกระแสน้ำที่ถูกเรียกกันว่า "Hell's Stream" ที่เชื่อกันว่า เป็นสถานที่ชุมนุมของเหล่าแม่มด

ภายใต้คำสั่ง "คำสั่งของเกรซ" ทางการได้สัญญาว่าจะให้อภัยกับแม่มดทุกคนที่ยอมมอบตัว และให้การที่มีประโยชน์ในการซัดทอดแม่มดคนอื่นๆ และปฎิญาณตนว่าจะกลับใจเลิกเป็นแม่มดอย่างเด็ดขาด คำประกาศนี้ นำไปสู่การจับกุม 1,802 คน พร้อมกับคำสารภาพ ( กว่า 1,384 คนเป็นเด็ก ทุกเพศ อายุ 7-14 ปี) นำไปสู่รายชื่อของผู้สมรู้ร่วมคิดอีกกว่า 5,000 คน หลังจากถูกทรมาน มีเพียง 6 คน จาก คนที่ถูกจับกุม 1,802 คน เท่านั้น ที่อ้างว่าได้เข้าร่วมการประชุมของแม่มดจริงๆ

Fras ผู้พิพากษาที่อายุน้อยที่สุดในแผนกสืบสวนคดีแม่มด ได้ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการพิจารณาคดี เขาพบว่า ไม่มีหลักฐานสำคัญใดๆ ที่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนพอว่าพวกเขามีการใช้เวทมนตร์จริงๆ หลักฐานที่ใช้ เป็นเพียงคำสารภาพ ที่เกิดขึ้นจากการทรมานเท่านั้น ดังนั้นในปี ค.ศ.1614 จึงได้มีการออกกฏระเบียบใหม่ที่เข้มงวดมากขึ้น รวมไปถึงกระบวนการหาหลักฐานแบบใหม่ ทำให้การตัดสินโทษแม่มดลดน้อยลงเรื่อยๆ จนกระทั่งการล่าแม่มดในประเทศนี้ สิ้นสุดลงก่อนทวีปยุโรปเสียอีก

ค.ศ.1611 ในเขต  Aix-en-Provence ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส บาทหลวง Louis Gaufridi ถูกเผา เพราะถูกกล่าวหาว่าได้ทำการส่งปีศาจไปหาแม่ชี Ursuline วัย 17 ปี และเชื่อกันว่าทั้งสองคนเป็นคู่รักกัน  เพื่อป้องกันความเสื่อมเสียในด้านความสัมพันธ์ดังกล่าว แม่ชี Ursuline ได้ถูกย้ายไปยังสถานที่ห่างไกล แต่อีกสองปีต่อมา แม่ชี Ursuline ได้ทำลายไม้กางเขน และเครื่องรางของขลังทุกอย่างที่ถูกนำมาใช้ในพิธีขับไล่ปีศาจ นอกจากนี้ เธอยังได้กล่าวหาอีกว่า บาทหลวง Louis Gaufridi เป็นสาวกของปีศาจ ที่ได้มีความสัมพันธ์กับเธอตั้งแต่อายุได้ 17 ปี ในขณะเดียวกันสภาพของเธอก็มีความน่าสมเพชมากขึ้นเรื่อยๆ เธอดูทุกข์ทรมาน และพร่ำเพ้อ ทำให้มีการพยายามขับไล่ปีศาจที่สิงสู่ในร่างกายของเธอแต่ก็ไม่เป็นผล

บาทหลวง Louis Gaufridi ถูกเรียกตัวมาเพื่อช่วยขับไล่ปีศาจตนนี้ แต่กลับถูก แม่ชี Ursuline กล่าวหาซ้ำอีกว่า เขาเป็นสาวกของปีศาจ พ่อมด และมนุษย์กินคน แถมเธอยังพยายามตัวตายครั้งที่สอง หลังจากที่ศาลค้นพบสัญลักษณ์ของปีศาจบนร่างกาย ในขณะเดียวกับ  บาทหลวง Louis Gaufridi ที่ถูกจับกุมคุมขัง ก็ถูกทรมานจนกระทั่งสามารถรีดเลือดเอาคำสารภาพออกมาว่า เข้าพิธีมนตร์ดำ เพื่อที่จะได้มีอำนาจเหนือผู้หญิงทั้งปวง ถึงแม้ว่าคำสารภาพเหล่านั้นจะเกิดขึ้นจากการทรมานก็ตาม แต่ก็มากเพียงพอที่จะใช้เป็นเชื้อไฟเพื่อเผาตัวเอง ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังได้รับความเมตตาจากศาสนจักรบ้างเล็กน้อย ด้วยการให้เพชรฆาตรัดคอให้สิ้นลม ก่อนนำร่างไปเผา

เหตุการณ์ที่ปีศาจได้ครอบงำนักบวชจนนำไปสู่เส้นทางเสื่อมนี้ ได้นำไปสู่การเกิดกฎหมายใหม่ที่มีชื่อเสียงอย่างมากในอีก 20 ปี  และทำให้เหตุการณ์ที่นักบวช และแม่ชี สามารถถูกปีศาจครอบงำ โดยรูปแบบทางเพศ กลายมาเป็นเรื่องปกติ ที่คนทั่วไปในสังคมยอมรับ จากเดิมที่ไม่มีใครเชื่อว่า ปีศาจจะชักนำนักบวชของพระเจ้าได้สำเร็จ

ค.ศ.1612 ในประเทศอังกฤษ มีการกล่าวหาว่าประชาชนทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในพื้นที่รอบ Pendle Hill เขตแลงคาเชียร์ เป็นคนป่าเถื่อนผู้ไร้กฎหมาย “Roger Nowell” ผู้พิพากษาท้องถิ่น ได้ทำการรวบรวมรายชื่อของคนที่ปฎิเสธจะเข้าร่วมคริสตจักร และไม่ใช้ภาษาอังกฤษ กว่า 1,612 คน  จนนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องสงสัย 12 คน ในฐานะของแม่มด พร้อมกับถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมสิบรายโดยการใช้เวทมนตร์ ฆ่าเด็กแล้วนำมากิน ฆ่าม้า ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆอีกมากมาย ผู้ต้องสงสัย 10 คน ถูกตัดสินว่ามีความผิด และถูกประหารด้วยการแขวนคอ มีเพียง Alice Gray คนเดียวเท่านั้นที่พ้นผิด โดยการให้ข้อมูลซัดทอดแม่มดไปยังครอบครัวของตัวเอง ส่วน Elizabeth Southerns เสียชีวิตขณะถูกคุมขังในคุก

ค.ศ.1613 เกิดการพิจารณาคดีแม่มดครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศเนเธอแลนด์ ขึ้นในเมือง Roermond เขตบูร์ก จนทำให้มีผู้ถูกเผาทั้งเป็นถึง 64 คน บนเนินเขา Galgeberg เหตุการณ์นี้เริ่มจากชาวเมืองได้รับความเดือดร้อนจากภัยพิบัติต่างๆ และเชื่อกันว่าเป็นการลงโทษจากพระเจ้า เพราะบางส่วนของผู้คนที่อาศัยอยู่ที่แห่งนี้เป็นแม่มด ชาวเมืองยิ่งปักใจเชื่อมากขึ้นไปอีก เมื่อลูกสาววัย 12 ปี ของ Trijntje van Zittaertby ได้สารภาพว่ามีแม่มดอยู่จริง โดยแฝงตัวอยู่ท่ามกลางพวกเขา

ค.ศ.1616 เกิดการล่าแม่มดในเมืองสปา (ประเทศเบลเยียมในปัจจุบัน) หรือที่รู้จักกันในยุคหลังว่าเป็นการล่าแม่มดแห่งเบลเยียม เหตุการณ์เริ่มต้น เมื่อเจ้าหน้าที่ของ Franchimont ได้ทำการออกสอบสวนการใช้เวทมนตร์ หลังจากที่เกิดโรคระบาดแปลกๆ ที่คร่าชีวิตของทั้งคนและสัตว์ในพื้นที่ โดยรายแรกที่ตกเป็นเป้าสงสัย คือ ชายผู้ให้ขนมปังกับทุกคนที่ป่วย และภรรยาของชายคนหนึ่ง ที่ต้องสงสัยว่าเล่นชู้กับปีศาจ ข้อกล่าวหาที่เลื่อนลอยปราศจากหลักฐานที่เป็นรูปธรรมเหล่านี้ ทำให้ 14 คน ถูกตัดสินว่ามีความผิด และถูกลงโทษประหารชีวิตด้วยกิโยติน ส่วนอีกที่เหลืออีก 4 ราย เสียชีวิตในคุกในระหว่างการทรมาน

ค.ศ.1617 ในประเทศสวีเดน เกิดคดีแม่มด Ramsele ในเขต Ostrogothia มีข้อกล่าวหาว่า ผู้หญิงที่ทรงเสน่ห์ของดยุค และดัชเชส เป็นแม่มด เธอถูกตัดสินลงโทษด้วยการเผาทั้งเป็น พร้อมกับกฎหมายใหม่ที่ถูกสร้างออกมารับมือกับผู้ใช้เวทมนตร์ ด้วย “โทษตาย” เพียงสถานเดียว

ในประเทศสวีเดน ได้มีการคิดค้น วิธีและอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับใช้ในการทรมานแม่มด เพื่อให้รับสารภาพ ที่เรียกได้ว่าไม่ธรรมดา แต่ที่นิยมนำมาใช้บ่อยๆคือ การพิสูจน์ความบริสุทธิ์โดยใช้น้ำ จากการสอบสวน ที่บันทึกเอาไว้ มีผู้หญิงอย่างน้อย 7 คน ที่ถูกทรมานด้วยวิธีนี้ แต่มีเพียงคนเดียวที่ยอมรับสารภาพ ในข้อหามีความสัมพันธ์ทางเพศกับซาตาน เป็นแม่มด และเขาร่วมวันประชุมของเหล่าแม่มด ในที่สุดทั้งหมดถูกประหารชีวิตด้วยการจามหัว ก่อนร่างถูกนำไปเผา

ค.ศ.1618 ในภาคตะวันออกของประเทศอังกฤษ Joan Flower และลูกสาวอีกสองคน Margaret และ Philippa ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ ทั้งสามคนทำงานเป็นหญิงรับใช้ในปราสาท Belvoir มากาเร็ต ถูกไล่ออกจากปราสาทในข้อหาลักขโมย หลังจากนั้นไม่นานครอบครัวของเอิร์ลผู้ครองปราสาทเกิดอาการป่วยเป็นลมชักอย่างน่าประหลาดจนเสียชีวิตไปหลายคน เหตุการณ์นี้เชื่อกันว่าเกิดจากความเคียดแค้นของครอบโจแอน ที่ถูกขับไล่ออกไป ทั้งสามคนถูกจับกุมในวันคริสมาสต์และนำตัวไปทำการสอบสวน ณ คุกลินคอร์น

เล่ากันว่าเมื่อ โจแอน ปากแข็ง ไม่ยอมรับสารภาพว่าเป็นแม่มด ผู้ทำการสอบสวนได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ด้วยการนำขนมปังทาเนยมาให้เธอกิน โดยอธิษฐานว่าถ้าหากไม่บริสุทธิ์ ขอให้สำลักอาหาร และจากบันทึก เธอเป็นคนแรกที่ตายตั้งแต่กัดขนมปังคำแรก ในขณะที่ลูกสาวทั้งสองคน สารภาพว่าพวกเธอมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเวทมนตร์คาถา ทั้งสองมีความคุ้นเคยกับปีศาจเป็นอย่างดี พวกมันมักจะแวะมาเยี่ยมเยือน และดูดวิญญาณออกจากร่างกายของเธอ นอกจากนี้ มากาเร็ต ยังยอมรับว่าได้ขโมยถุงมือของเฮนรี่ ลอร์ดอส ลูกชายคนโต ของเอิร์ล แล้วนำไปให้โจแอน จากนั้นพวกเธอได้รวมกันทำพิธีกรรม แล้วจุ่มมันลงไปในน้ำเดือด ส่งผลให้เขาล้มป่วยจนตายไปในที่สุด แต่ความพยายามอื่นๆ ในการทำอันตรายต่อเลดี้ แคเธอรีน ไม่ประสบผลสำเร็จ แต่พวกเธออ้างว่าประสบความสำเร็จในการหล่อคาถาที่ทำให้เอิร์ล และเคาน์เตส ไม่สามารถมีลูกเพิ่มขึ้นได้อีก และแม่ของพวกเธอคุ้นเคยกับปีศาจ ในรูปร่างของแมวที่ชื่อ Rutterkin

ระหว่างการสอบสวน พวกเธอได้เปิดเผยรายชื่อของผู้หญิงอีกสามคนที่คอยให้การช่วยเหลือ Anne Baker, Joan Willimot และ Ellen Greene ทั้งหมดถูกจับกุมมาเพื่อทำการสอบสวน และรับสารภาพว่ามีการคบค้าสมาคมกับวิญญาณ รวมไปถึงเวทมนตร์ Joan Willimot อ้างว่า ตนเองสามารถใช้งานจิตวิญญาณที่คุ้นเคยกัน เพื่อสอบถามเกี่ยวกับสุขภาพของคนอื่นๆ ในขณะที่ Ellen Greene เธอมีวิญญาณสองดวงคอยติดตามอยู่ ในรูปกายของลูกแมว และตัวตุ่น ที่จะคอยปีนขึ้นมาบนไหล่พร้อมกับดูดที่หูเพื่อรับรางวัล ในการออกไปทำงานฆ่าคนตามคำสั่งของเธอ ส่วน Anne Baker มีปีศาจคอยติดตามเป็นสุนัขสีขาว โดยมีพยานหลายคนให้การตรงกันว่ามักเห็นเธอกับสุนัขสีขาวบ่อยๆ

ค.ศ.1623 มีการล่าแม่มดครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง เกิดขึ้น ณ เมืองแมมเบิร์ก ทางตอนใต้ของประเทศเยอรมันนี มีการประหารชีวิตแม่มดมากถึง 300-600 คน และมีบันทึกถึงรายละเอียดของการทรมานด้วยวิธีต่างๆ ที่น่าสะอิดสะเอียนจากเหตุการณ์นั้นหลงเหลือเป็นตราบาปอยู่ในประวัติศาสตร์เป็นจำนวนมาก

แบมเบิร์กในช่วงเวลานั้น เป็นรัฐเล็กๆ ที่ปกครองโดย เจ้าชาย บิชอป Gottfried Johann Georg II Fuchs von Dornheim พื้นที่แห่งนี้เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง ความล้มเหลวทางการเกษตร และโรคระบาดต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากสงครามความขัดแย้งภายในของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เกิดความอดอยากไปทั่ว แทนที่จะโทษนักการเมืองที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น ผู้คนกลับหันไปกล่าวหาว่า ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นจากการใช้เวทมนตร์คาถา

ผู้ครองเมืองฉวยโอกาสใช้ความเชื่อนี้ ตรากฎหมายที่จะทำให้ผู้ถูกกล่าวหาหมดสิทธิ์ใดๆทางกฎหมาย นอกจากนี้ เจ้าชาย Dornheim ยังได้ทำหน้าที่มาเป็นผู้ไต่สวน ผู้พิพากษา และเพรชฆาตด้วยตัวเอง สิ่งที่สร้างชื่อให้เจ้าชายองค์นี้กระฉ่อนก้องโลก คือ “Drudenhaus” (คุกแม่มด) และ “ห้องทรมานพิเศษ” ที่คฤหาสน์ของตัวเอง

การทรมานถูกนำมาใช้กันเป็นเรื่องปกติของผู้ที่ถูกยัดเยียดข้อกล่าวหา พร้อมกับวิธีการทรมานที่ยิ่งนานวัน ก็ยิ่งแต่งเติมเพิ่มเติมความหฤโหดมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นห้องอาบน้ำเย็น ห้องอาบน้ำมะนาวร้อนๆ เหล็กย่างเผาไฟที่แนบไปทั่วร่างกาย และโลงศพที่เต็มไปด้วยเหล็กแหลม เป็นต้น คนทุกช่วงอายุที่ต้องสงสัยว่าเป็นแม่มด ถูกทรมานอย่างแสนสาหัส เพียงเพื่อให้ได้รับคำสารภาพที่เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ

เหล่าคนฐานะร่ำรวย หรือมีชื่อเสียง ก็ใช่ว่าจะสามารถรอดพ้นเงื้อมมือของเจ้าชายผู้คร่ำเคร่งกับล่าแม่มดองค์นี้ได้ คนรวยจำนวนมากถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด แล้วทำการยึดทรัพย์สินจนหมดสิ้น ทำให้ทางการร่ำรวยมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่คนที่ตั้งคำถาม คนช่างสงสัย ก็จะถูกยัดเยียดข้อหาเดียวกันให้อย่างไม่มีข้อยกเว้น

ค.ศ.1626 การล่าแม่มดแห่ง Wrzburg ประเทศเยอรมันนี เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ การล่าสังหารแม่มดครั้งใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์ของทวีปยุโรป ผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก กว่า 900 คน ถูกตัดสินฐานมีความผิดในการใช้เวทมนตร์ และทำสัญญากับปีศาจ

เบื้องหลังของการสังหารโหดในครั้งนี้ เกิดขึ้นด้วยฝีมือของ เจ้าชาย บิชอป แห่ง Wrzburg นาม Julius Echter von Mespelbrunn ในช่วงเวลา 8 ปี เขาเผาผู้คนมากมายทั้งเป็น รวมไปถึงหลานชายของตัวเอง นักบวชคาทอลิก 9 รูป และเด็กอีก 7 คน ในข้อหามีเพศสัมพันธ์กับปีศาจ นอกจากนี้ ประชาชน จากทุกชนชั้น ไม่ว่าจะเป็นขุนนาง สมาชิกสภา และนายกเทศมนตรี ตำแหน่ง ความร่ำรวย ก็ไม่ได้ช่วยปกป้องพวกเขาจากข้อกล่าวหาที่สุดแสนจะคลุมเครือ ไม่ว่าจะเป็นการฆาตกรรมโดยใช้พลังจากซาตาน ฮัมเพลงซาตาน หรือแม้แต่เหล่าคนเร่ร่อน ที่ไม่สามารถอธิบายให้คณะสอบสวนพอใจได้ถึงเหตุผลในการเดินทางผ่านเมืองของพวกเขา  ความหวาดกลัวเกาะกินหัวใจของคนทั้งเมือง จนกระทั่งถึง ค.ศ.1631 การล่าแม่มดอย่างบ้าคลั่งจึงได้สิ้นสุดลง เมื่อเมืองได้ทำการเปลี่ยนผู้ปกครองใหม่เป็น กษัตริย์ Gustavus Adolphus แห่งประเทศสวีเดน

ค.ศ.1634 เกิดคดีล่าแม่มดในเมืองเล็กๆที่มีชื่อว่า Loudun ประเทศฝรั่งเศส เหตุการณ์เริ่มขึ้นเมื่อชายนาม Urbain Grandier ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระราชาคณะของโบสถ์  St-Pierre-du-Marche เขาเป็นชายที่ดูดี มีการศึกษาสูง และร่ำรวยเป็นอย่างมาก ทำให้กลายมาเป็นเป้าสนใจของสาวๆในเมืองแห่งนี้ อย่างไรก็ตาม หลังจากพบว่าเขาเข้าไปเกี่ยวพันกับเรื่องชู้สาวหลายคดี ในปี ค.ศ.1630 ทำให้เขาต้องสูญเสียความน่าเชื่อถือจนต้องออกจากตำแหน่ง ถึงแม้ข่าวลือเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ไม่มีมูลความจริงก็ตาม ที่จริงแล้ว ข่าวลือที่เสื่อมเสียนี้ เกิดจากฝีมือของ Bishop of Poitiers ที่เป็นรู้กันทั่วว่าไม่ชอบขี้หน้าเขา และต้องการขับไล่ออกไปให้พ้นจากเมืองแห่งนี้

ตามบันทึกของเรื่องราวกล่าวว่า Bishop of Poitiers ได้ทำการชักชวนสาวๆหลายคนให้ร่วมมือกันเพื่อใส่ความ Grandier ด้วยการอ้างว่า เขาได้ทำการเสกคาถาใส่พวกเธอจนล้มลงไปนอนชัก คล้ายกับคนหายใจไม่ออก พร้อมกับพร่ำบ่นภาษาแปลกๆ ยังมีการอ้างอีกว่า Grandier ได้ทำการล่อลวงแม่ชี รวมไปถึงหญิงสาวหลายคนให้ตกเป็นทาสทางเพศ พร้อมกับสั่งให้ออกไปทำการอาละวาดส่งเสียงดังในยามวิกาล ด้วยการครอบงำของปีศาจสองตน ที่มีชื่อว่า Asmodeus และ Zabulon โดย Grandier มีสัญญานให้ปีศาจทั้งสองตนทำการสิงสู่เหยื่อผู้เคราะห์ร้าย ด้วยการโยนช่อกุหลาบข้ามกำแพงของโบสถ์

แม้ว่า Grandier จะตระหนักถึงภัยจากข้อกล่าวหาของการเป็นแม่มด พร้อมกับเขียนจดหมายถึงอาร์คบิชอปแห่งบอร์โดซ์ เพื่อให้ส่งคณะแพทย์มาตรวจสอบแม่ชี รวมไปถึงหาหลักฐานเกี่ยวกับปีศาจ และไม่พบอะไรที่ผิดสังเกต ทำให้อาร์คบิชอปสั่งยุติข้อกล่าวหา แต่ Grandier ก็ยังมีศัตรูอีกหลายคนที่ยังไม่ละความพยายามที่จะใส่ความ จนทำให้เขาถูกจับกุมมาขึ้นศาลล่าแม่มดอีกครั้ง พร้อมกับสาธารณชนที่ให้ความสนใจกว่า 7,000 คน มาเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด โดยมีโจทย์เป็นแม่ชีนาม Jeanne des Anges ร่วมกับแม่ชีอีกหลายคน อ้างว่าพวกเธอถูกครอบงำด้วยปีศาจจำนวนมากที่ผลัดเปลี่ยนกันมาก ได้แก่ Asmodeus, Zabulon, Isacaaron, Astaroth, Gresil, Amand, Leviatom, Behemot, Beherie, Easas, Celsus, Acaos, Cedon, Alex, Naphthalim, Cham, Ureil และ Achas

ในที่สุด Grandier ถูกคุมขังในปราสาท Angiers ทุกส่วนร่างของเขาถูกโกนขนออกจนหมดเพื่อค้นหาร่องรอยของปีศาจ จนกระทั่งพบเครื่องหมาย (ปลอม) ที่ปรากฏขึ้นมาภายหลังจากการสอบสวน มีการประท้วงจาก ดร. Fourneau ว่าเครื่องหมายดังกล่าวเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาในภายหลังก็ตาม หลังจากนั้นไม่นาน แม่ชีที่เคยอ้างว่าถูกปีศาจสิง ออกมาเปิดเผยว่าที่จริงแล้ว Grandier เป็นผู้บริสุทธิ์ แม้แต่ แม่ชี  Jeanne des Anges เอง ก็ยังได้ทำการเรียกร้องความเห็นใจจากศาล ด้วยการปรากฏตัวในศาลพร้อมกับบ่วงเชือกผูกรอบคอ พร้อมกับการยืนยันอย่างหนักแน่นว่าจะทำการแขวนคอตัวเอง ถ้าหากเธอไม่สามารถขอถอนคำโกหกต่อศาลก่อนหน้านี้ ทำให้พยานหลายคนถูกจับกุมในฐานะผู้ทรยศต่อกษัตริย์ พร้อมกับถูกยึดทรัพย์สินทั้งหมด อดีตพยานหลายคนต้องหลบหนีไปจากฝรั่งเศส

ในท้ายที่สุดด้วยหลักฐาน พยานกว่า 72 คน ที่ให้สัตย์สาบานต่อศาล Grandier ที่ถูกทรมานอย่างรุนแรงจนขาทั้งสองข้างถูกทำลาย ที่ถูกปฎิเสธสิทธิ์ในการอุธรณ์ เขายังคงยืนยันในความบริสุทธิ์ของตัวเอง และปฎิเสธที่จะให้รายชื่อผู้สมรู้ร่วมคิดใดๆ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปกว่าหนึ่งปี ได้มีการตัดสินว่าเขามีความผิดทุกข้อกล่าวหา ทำให้เขาถูกนำตัวไปเผาทั้งเป็น และนำเถ้าถ่านไปโปรยในวันที่มีฝนตกฟ้าคะนองจนเลือนหายไปหมดไม่เหลือร่องรอยแม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตาม ภายใน 5 ปี หลังจากการเสียชีวิตของ Grandier บาทหลวง Lactance, Tranquille และ ดร. Mannouri พนักงานสอบสวน ทั้งหมดเสียชีวิตในขณะที่มีอาการเพ้อ บาทหลวง Surin ก็ถูกผีสิง จนไม่สามารถกิน เดิน เขียน อ่านหนังสือ ได้ด้วยตัวเอง ในท้ายที่สุด บาทหลวงรูปนี้ได้พยายามฆ่าตัวตาย

ค.ศ.1643 เกิดการล่าแม่มดครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดขึ้นในประเทศฝรั่งเศส ในระยะเวลาเพียงแค่ 2 ปี มีผู้ที่อาศัยอยู่เพียงลำพังคนเดียว ต้องสงสัยว่าเป็นแม่มดอย่างน้อย 650 คน ถูกจับกุม ในช่วงเวลาเดียวกันก็ได้เกิดการล่าแม่มดอย่างรุนแรงขึ้นท่ามกลางสงครามกลางเมือง 30 ปีของประเทศอังกฤษ บรรยากาศความไม่สงบ ความทุกข์ทรมานจากสงคราม มีส่วนสำคัญในการจุดประกายให้เกิดการล่าแม่มดขึ้นราวกับกำลังล่าสัตว์ 

ค.ศ.1645 Bury St. Edmunds ประเทศอังกฤษ มีแม่มดไม่น้อยกว่า 18 คน ถูกแขวนคอ ภายใต้การควบคุมจับกุมของ แมทธิว ฮอปกินส์ ที่ประกาศตัวว่าเป็น “Witchfinder General” มีแม่มดอย่างน้อย 500 คน ที่ถูกจับกุมมาดำเนินคดี จากหมู่บ้านรอบๆ และเป็นครั้งแรกที่มีการนำ “หลักฐานผี” ที่อยู่บนพื้นฐานของความฝัน และการมองเห็นวิญญาณ ถูกนำมาใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาล ในภายหลัง ฮอปกินส์ ได้รับฉายาว่าเป็นนักบ่าแม่มดที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์

ปี ค.ศ. 1647 เกิดคดีการล่าแม่มดแห่ง ลูวิเอร์ หรือลูวิเอร์คอนแวนต์ ในนอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคล้ายกับ Aix-en-Provence Loudun ที่นักบวชของศาสนาคริสต์ ได้ไปร่วมกับเหตุการณ์ปีศาจสิงสู่ และคำสารภาพของชาวบ้าน ที่เข้าร่วมพิธีกรรมที่เต็มไปด้วยเซ็ก

  เหยื่อรายแรกเริ่มต้นที่ สาวน้อยวัย 18 ปี Madeleine Bavent สารภาพว่าตนเองได้ถูกลักพาตัวไปเข้าร่วมการชุมนุมกับเหล่าแม่มด ด้วยฝีมือของนักบวช Mathurin Picard ผู้อำนวยการแห่ง ลูวิเอร์คอนแวนต์ และหลวงพ่อ Thomas Boulle แล้วบังคับให้เธอแต่งงานกับปีศาจที่มีชื่อว่า “Dagon” อีกทั้งยังถูกบังคับให้มีเพศสัมพันธ์กับเขาบนแท่นูชา โดยชายทั้งสองคนที่ถูกกล่าวหาเป็นผู้มัดตรึงเธอเอาไว้ และทำทารุณกรรมเธออีกหลายประการ

ข้อกล่าวหาของเธอได้รับการตรวจสอบ และพบว่ามีแม่ชีที่ตกเป็นเหยื่อของทั้งสองคน โดยมีลักษณะการกระทำที่คล้ายกันมาก แม่ชีคนหนึ่งกล่าวว่า เธอถูกครอบงำด้วยปีศาจที่ชื่อว่า “Ancitif” ในระหว่างการหาหลักฐาน แม่ชี อีกคนหนึ่งเปิดเผยหลักฐานว่า ทั้งสองพยายามดึงเธอให้เข้าสู่บาป ด้วยการสนทนาด้านเทววิทยา ก่อนจะเริ่มตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับพระเจ้า และพูดเกี่ยวกับข้อผิดพลาดของความเชื่อในศาสนาคริสต์ การที่นักบวชหันหน้าเข้าหาความมืดนี้ ทำให้ความหวาดกลัวแม่มดเริ่มปกคลุมไปทั่วเมือง ในที่สุด Madeleine Bavent ถูกตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิตในคุกของคริสตจักร หลวงพ่อ Thomas Boulle ถูกเผาทั้งเป็น ส่วน Mathurin Picard ที่พึ่งเสียชีวิตไปก่อนหน้านี้ไม่นาน ศพของเขาถูกขุดขึ้นมาเผาทิ้งจนมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน

ในช่วงเวลาเดียวกัน การล่าแม่มดก็ได้ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปยังทวีปอื่นๆ โดยเฉพาะในทวีปใหม่ อย่างสหรัฐอเมริกา ที่มีชาวยุโปรได้ย้ายรกรากไปตั้งถิ่นฐานเป็นจำนวนมาก อาณานิคมใหม่เหล่านี้ ได้ทำการตรากฎหมายที่รู้จักกันในชื่อของ “Blue Laws” ขึ้นมารับมือกับอาชญากรรมที่เกิดขึ้นจากการใช้เวทมนตร์ เพราะเชื่อกันว่าไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม ความเจ็บป่วยการแพร่ระบาดของโรค มักจะเกิดขึ้นจากฝีมือของเหล่าแม่มดนั่นเอง

Alse Young แห่ง วินด์เซอร์ เป็นหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ ในประเทศสหรัฐอเมริกา ในฮาร์ตฟอร์ท ด้วยข้อกล่าวหาว่าใช้คาถาทำให้เกิดโรคระบาดขึ้นในเมืองวินด์เซอร์

ค.ศ.1648 Mary Johnson หญิงรับใช้ ในประเทศอเมริกา ถูกกล่าวหาว่าทำการขโมยของ หลังจากที่ได้รับการข่มขู่ และกดดัน เธอรับสารภาพได้ทำการความผิดด้วยการใช้คาถา และเธอยังมีผู้ช่วยเป็นปีศาจที่ช่วยเธอทำงานบ้าน และลักขโมย คำสารภาพเหล่านี้ทำให้เธอได้รับโทษประหารชีวิต

ค.ศ.1651- 1662 มีการแขวนคอ ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด ในประเทศอเมริกาอีกครั้ง John และ Joan Carsington ,Goodwife Bassett ,Goodwife Knapp, Connecticut, convicted, hung , Lydia Gilbert, Rebecca และ Nathaniel Greensmith, Mary Sanford และ Mary Barnes

ค.ศ.1662 ผู้ว่าการรัฐคอนเนตทิคัต John Winthrop Jr แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เพิ่มความหนักแน่นของหลักฐานในการบ่งชี้ว่าผู้ใดเป็นแม่มด โดยให้มีพยานอย่างน้อยสองคนสำหรับทุกการกระทำที่ถูกกล่าวหา ทำให้ข้อกล่าวหาว่าเป็นแม่มดลดน้อยลงเป็นอย่างมาก

ในปีเดียวกัน ข้ามผืนทะเลที่กว้างใหญ่กลับไปยังทางภาคเหนือของประเทศนอเวย์ ที่กำลังถูกปกคลุมด้วยฤดูหนาว มีผู้ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการใช้เวทมนตร์คาถา และทำสัญญากับซาตาน เตรียมรอรับพิจารณาคดีอยู่กว่า 30 คน 18 คน ในนั้นถูกเผาทั้งเป็น 2 คน ถูกทรมานจนกระทั่งขาดใจตาย ด้วยการถูกเหล็กเผาไฟทาบลงไปบนส่วนต่างๆของร่างกาย

ข้อกล่าวหาเริ่มขึ้นเมื่อ Lauritz Braas ได้อ้างว่า ทาสสองคนของเขาที่พึ่งเสียชีวิตไป เกิดขึ้นจากเวทมนตร์ของ Dorthe Lauritzdotter ที่เคยถูกกล่าวหา และพ้นผิดไปก่อนหน้านี้  โดย Dorthe ได้นำแม่มดสี่คน แปลงกายเป็นนกพิราบ นกอินทรี อีกา และหงส์ มาทำการสาปแช่งให้เรือจม แต่ล้มเหลว เมื่อลูกเรือทั้งหมดได้ทำการอธิษฐานต่อพระเจ้าข้อกล่าวหานี้ ทำให้คนที่ถูกกล่าวหาทั้ง 5 คน ถูกเผาทั้งเป็น

หลังจากนั้นในช่วงเทศกาลคริสมาสต์เด็กผู้หญิงสามคนนามว่า Ingeborg Iversdatter อายุ 8 ขวบ Sigri Klockare อายุ 12 ปี และ Maren Olsdotter ทั้งหมดถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด เด็กสาวทั้งสามคนได้ทำการสารภาพว่าตนเองนั้นมีความเกี่ยวข้องกับการใช้คาถา Ingeborg สารภาพว่าสามารถแปลงร่างเป็นแมว แล้วเดินทางไปยัง Kiberg ซึ่งเป็นสถานที่ที่พวกเธอได้นัดพบทำพิธีกรรม และเมามายร่วมกับซาตาน ในขณะที่ผู้หญิงอีกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเธอ ได้สารภาพว่าตัวเองได้เข้าร่วมงานชุมนุมของแม่มด ในภูเขา Dovrefjell ที่ตั้งอยู่ทางภาคใต้ของนอร์เวย์ แม่มดที่ร่วมชุมนุม จะมาในรูปแบบของสุนัข และแมว การชุมนุมจะมีขึ้นไปพร้อมกับการดื่ม เต้นรำ ร่วมกับซาตานที่ปรากฏกายในร่างของสุนัขสีดำ ส่วน Ingeborg Iversdatter สารภาพว่า แม่มดที่ปรากฏตัวในรูปกายของอีกาสามหัว ได้พยายามที่จะลอบสังหารเจ้าหน้าที่ของนอร์เวย์ด้วยเข็ม พวกเธอถูกจับกุมแล้วนำไปขังไว้ใน “witches-hole” ในป้อมปราการแห่งหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ.1663 ผู้ที่ถูกคุมขังอยู่ภายใน “witches-hole” ได้ถูกนำตัวมาสอบสวนอีกครั้ง แล้วพบว่าคำสารภาพของพวกเธอนั้นล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น จากการถูกข่มขู่ว่าจะทำการทรมานหากไม่ยอมรับข้อกล่าว โดยฝีมือของภรรยานายแพทย์ ที่มีชื่อว่า  Anne Rhodius ทำให้ทั้งหมดถูกปล่อยตัวให้พ้นจากความผิด ในขณะเดียวกันภรรยาจอมข่มขู่ก็ถูกเนรเทศ ให้ไปอยู่ทางภาคเหนือของนอร์เวย์ จนกระทั่งเสียชีวิต

ค.ศ.1674 เกิดคดีล่าแม่มด ที่โหดเหี้ยมที่สุดที่ได้มีการบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ของทวีปยุโรป ในหมู่บ้าน Torsker ที่ตั้งอยู่บริเวณภาคกลางของประเทศสวีเดน ชาย 6 คน และผู้หญิง 65 คน ถูกตัดศีรษะและเผาทั้งเป็นในวันเดียว ด้วยฝีมือของคณะกรรมการพิเศษ ที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อพิพากษาเหล่าแม่มดโดยเฉพาะ

การสังหารโหดแม่มดในครั้งนี้ เริ่มขึ้นเมื่อมีเด็กชายสองคนปรากฏตัวขึ้นที่ประตูโบสถ์ของคริสตจักร พร้อมกับกล่าวว่าพวกเขาถูกแม่มดที่มองไม่เห็นบุกเข้าไปในห้อง พร้อมกับทำเครื่องหมายลงบนหน้าผากของพวกเขา เมื่อถูกบาทหลวงซักถามว่าแม่มดคนดั่งกล่าวเป็นใคร เด็กชายคนหนึ่งได้ชี้ไปที่ Britta Rufina ภรรยาของบาทหลวง แต่หลังจากที่เสียงตบหน้าดังสนั่นลั่นโบสถ์ เด็กชายได้รีบขอโทษ พร้อมกับอ้างว่าเป็นอาการตาลายเพราะแสงอาทิตย์

ข้อกล่าวหาหลัก ที่ทำให้เกิดล่าแม่มดขึ้นอย่างจริงจังคือ แม่มด ได้ทำการลักพาตัวเด็กๆ และนำไปพบกับซาตานในวันชุมนุมของเหล่าแม่มด จากนั้นได้นำพวกเขาไปอาบน้ำเย็นๆในทะเลสาบน้ำแข็ง แล้วจับทั้งหมดใส่เอาไว้ในเตาอบพร้อมกับขู่ว่าจะจุดไฟเพื่ออบพวกเขาเสีย ซึ่งพยานในเรื่องนี้ ส่วนใหญ่เป็นเด็ก แต่มันก็มากเพียงพอที่จะทำให้ทางคริสตจักร ทำการจับกุมคนกว่าร้อยชีวิตที่ถูกกล่าวหา และเริ่มต้นการเผชิญหน้ากับการคุมขังที่โหดร้าย แทบปราศจากอาหาร แต่ยังดีที่พวกเขายังได้รับการผ่อนปรนให้สามารถรับอาหารจากญาติได้ หลังจากดำเนินการสอบสวนไปได้เพียงหนึ่งปี ผู้ถูกกล่าวหา 70 ชีวิต ถูกตัดสินประหารโหด ณ “The Mountain of the Stake"

ค.ศ.1675 เกิดการล่าแม่มดครั้งใหญ่ ในเมือง Salzburg ประเทศออสเตรเลีย จนทำให้เกิดการล่าจับกุมผู้ต้องสงสัยกว่า 139 คน โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย เริ่มต้นจากผู้หญิงที่มีชื่อว่า “บาร์บาร่า” และ “พอล”คู่รักของเธอ ที่ได้ทำการสารภาพระหว่างการทรมานว่า ลูกชายของเธอ “พอล จาคอป” ได้ทำสัญญากับซาตาน หรือที่คนต่างรู้จักเขาในชื่อของ “Magician Jackls”

หลังจากนั้น Feldner Bettlerbub Dionysos เด็กขอทานวัย 12 ปี ได้ถูกจับ พร้อมกับสารภาพว่า Magician Jackls” เป็นหัวหน้าของแก๊งเด็กขอทาน เด็กยากจน และวันรุ่นจากสลัม ได้ทำการสอนมนต์ดำให้กับพวกเขา

คำสารภาพดังกล่าวทำให้ Magician Jackls กลายเป็นที่สนใจของคนทั่วไป จนเกิดตำนานต่างๆ ที่เกี่ยวกับพ่อมดรายนี้ หลายคนอ้างว่า เขาสามารถล่องหนได้ บัญชาให้หนูไปทำลายพืชผลทางการเกษตรได้ และยังเชื่อว่าเขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดสภาพอากาศที่เลวร้ายในปีที่ผ่านมา คำสารภาพดังกล่าวทำให้เกิดความตื่นตระหนก จนนำไปสู่การล่าจับกุมแม่มดที่ส่วนใหญ่เป็นเด็กขอทานไปทั่วประเทศ โดยส่วนใหญ่เป็นเด็กที่มีอายุอยู่ระหว่าง 10-14 ปี หลังจากถูกทรมานเพื่อให้สารภาพ ด้วยการตัดมือทิ้ง และตีตราด้วยเหล็กเผาไฟ กว่า 139 คน ได้ถูกแขวนคอ หรือประหารชีวิตจนหมด

ค.ศ.1678 ในประเทศโบฮีเมีย (สาธารณะรัฐเช็กในปัจจุบัน) ในช่วงเวลา 18 ปี มีผู้ถูกประหารชีวิตในฐานะของแม่มดกว่า 100 คน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการปฎิรูปคริสต์ศาสนาสู่นิกายโปรเตสแตนต์ในโบฮีเมีย หลังจากที่โบฮีเมียได้รับอิสรภาพจากออสเตรเลียจากสงครามสามสิบปี แต่ที่จริงแล้วการล่าแม่มดเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1622 เมื่อ อาร์โนล เอเจล นักบวชนิกายเยซูอิต ได้เขียนจดหมายถึงจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในขณะนั้น เพื่อเตือนว่าในทางภาคเหนือของโบฮีเมีย ถูกครอบงำด้วยเวทมนตร์และซาตาน ซึ่งอาจจะทำให้เกิดจลาจลในอนาคต ทำให้เกิดการตั้งคณะกรรมการพิพากษาแม่มดขึ้น

การล่าแม่มดอย่างบ้าคลั่งในโบฮีเมีย เริ่มขึ้นในวันอีสเตอร์ ปี ค.ศ.1678 มารี Schuhov และผู้หญิงอีกหลายคน ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด ที่ใช้เวทมนตร์สะกดให้วัวมีน้ำนมมากกว่าปกติ ทำให้เธอ และผู้หญิงอีกสามคนถูกเผาทั้งเป็น ส่วนผู้หญิงอีกห้าคนเสียชีวิตลงในคุก แต่อย่างไรก็ตาม ศพทั้งหมดถูกนำออกมาเผาเหมือนกันทั้งหมด หลังจากนั้น กรรมการพิพากษา ยังคงทำงานล่าแม่มดต่อไปอย่างขันแข็ง ก่อนที่จะพบว่าในหมู่ของครอบครัวที่ร่ำรวยมีหลายคนที่เข้าข่ายพฤติกรรมของแม่มด โดยอ้างอิงจากคำสารภาพของคนที่ถูกจับกุมตัวไปก่อนหน้า แล้วถือโอกาสกำจัดนักวิจารณ์ปากกล้า และบาทหลวง ที่ไม่เห็นด้วยกับคริสตจักร ก็พลอยถูกคควบคุมตัวไปทรมานในข้อหาแม่มดเช่นกัน

ในช่วงปลาย ค.ศ.1680 ด้วยเหตุผลด้านมนุษย์ธรรม และการหาหลักฐานเชิงประจักษ์ ไม่พบว่าเหล่าคนต้องสงสัยว่าเป็นแม่มด ได้กระทำการที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อมนุษย์จริง ส่วนใหญ่ของหลักฐานเป็นคำสารภาพ ที่เกิดขึ้นจากการถูกทรมานบังคับ ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ไร้มนุษย์ธรรมอย่างมาก

ปี ค.ศ. 1682 หญิงชรา Temperance Lloyd จากบิสฟอร์ต เป็นแม่มดคนสุดท้ายที่ถูกประหารในประเทศอังกฤษ

ค.ศ.1688 กูดดี้ โกลเวอร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ถูกจับแขวนคอในฐานะอาชญากร ที่ก่ออาชญากรรมด้านคาถาในบอสตัน

ปี ค.ศ.1692 - 1963 เกิดเหตุการณ์ล่าแม่มด แห่งหมู่บ้าน ซาเลม (Salem) ณ รัฐอาณานิคมแมสซาซูเซตส์ (Massachusetts) ในทวีปอเมริกา ที่ถูกปกครองโดยประเทศอังกฤษในขณะนั้น ได้เกิดเหตุการณ์ที่เด็กหญิงหลายคนในหมู่บ้าน เกิดอาการหน้ามืดเป็นลมชัก และมีอาการผิดปกติหลายอย่าง หวีดร้องโหยหวน ล้มดิ้นชักดิ้นชักงอ ไม่รู้สึกตัว กล่าวถ้อยคำดูหมิ่นพระเจ้า พูดภาษาประหลาดที่ฟังไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งบรรดาเด็กหญิงเหล่านั้น ได้อ้างชื่อคนใช้หญิงสามคน คือ ทิทูบา, ซาร่าๆ ออสบอร์น และ ซาราห์ กู๊ด เมื่อมีการสอบสวนเกิดขึ้น หนึ่งในหญิงรับใช้นาม ทิทูบา ได้รับสารภาพว่าตนฝึกเวทมนตร์คาถาของแม่มดจริง และมองเห็นปีศาจปรากฏกาย มีรูปร่างคล้ายหมู บางครั้งเป็นหมาตัวใหญ่ นอกจากนี้ยังได้มีการสมรู้ร่วมคิดกับกลุ่มแม่มด เพื่อประกอบการชั่วร้ายในเมืองซาเล็ม มนต์สะกดของซาตาน เป็นที่มาของอาการผิดปกติของเหล่าเด็กหญิง คำสารภาพดังกล่าว ทำให้เกิดการล่าแม่มดครั้งใหญ่ขึ้นในอาณานิคมอเมริกา

ภายในระยะเวลาเพียงไม่นาน สถานการณ์ที่เลวร้ายได้ลุกลามอย่างบ้าคลั่งไปจนกระทั่งทั่ว ในชั่วระยะเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งปี เกิดการประหารผู้บริสุทธิ์ เป็นชายจำนวน 19 คน ชาย 9 คน ถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ ชายชราหนึ่งคนถูกเขวี้ยงปาด้วยก้อนหินจนตาย และผู้ชายอย่างน้อย 5 คน ตายภายในคุก ผู้หญิงที่ถูกสังหาร และถูกจำคุกในข้อหาเป็นแม่มดมากกว่า 200 คน ในขณะที่ตัว ทิบูทา หลังจากติดคุกอยู่ระยะเวลาหนึ่งก็ถูกปล่อยตัวออกมา พร้อมกับหายตัวไปอย่างลึกลับ

เรื่องราวการล่าแม่มดในเมืองซาเลม ได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ซีรี่ฝรั่งชุด Salem (2014) เป็นเรื่องราวของเมืองที่มีการล่าแม่มดอย่างฉาวโฉ่ และเปิดเผยความมืด พลังเหนือธรรมชาติ ที่ซ่อนอยู่ในยุคบุกเบิกอเมริกา ซึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้ มีหญิงสาวชาวบ้านนามว่า ทิบูทา ปรากฏตัวอยู่ด้วยในฐานะของแม่มดคนหนึ่ง แม่มดในภาพยนตร์ชุดนี้อยู่ในฐานะของผู้ที่มีอำนาจที่สุดของเมืองซาเลม เช่น ผู้พิพากษา หญิงที่ร่ำรวยที่สุดในเมือง เป็นต้น พร้อมกับใช้อำนาจเวทมนตร์ และอำนาจทางสังคมใส่ความ พิพากษาประหารชีวิตผู้บริสุทธิ์ เพื่อนำเลือดและดวงวิญญาณไปใช้ในการทำพิธีกรรมที่ยิ่งใหญ่ของตนเอง นอกจากนี้ยังมีจุดหมายที่จะใช้การล่าแม่มดเป็นเครื่องมือในการกำจัดชาวคริสต์ที่เคร่งศาสนา ในเมืองซาเลมไปเรื่อยๆ และเหล่าแม่มดจะเข้ายึดครองเมืองซาเลมในที่สุด

 

การล่าแม่มดในศตวรรษที่ 17

แม้ว่าจำนวนของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจากเหตุการณ์ล่าแม่มด เริ่มลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงปลายปี  ค.ศ. 1690 แต่ในปี ค.ศ.1793 ยังคงมีการเสียชีวิตจากการถูกสังหาร ด้วยการกล่าวหาว่าเป็นแม่มดเกิดขึ้นเป็นระยะ ตามทวีปต่างๆทั่วโลก ในปี 2011 – 2012  มีอย่างน้อยสามคน ถูกสังหารในข้อหานี้ ณ ประเทศซาอุดิอาระเบีย

ประเทศที่มีการทารุณกรรมผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดมากที่สุด คือ เยอรมันนี เฉพาะเพียงแค่เมือง แบมเบิร์ก เมืองเดียว มีแม่มดถูกเผาทั้งเป็นกว่า 600 คน โดยเริ่มต้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1609 โดยมีบิชอป ฟอน อาสโซเสน เป็นผู้ปกครอง ได้มีการสั่งเผาแม่มดทั้งเป็นมากกว่า 900 คน ในระยะเวลาเพียง 13 ปี หรือประมาณ 2 สัปดาห์ ต่อ 1 ศพ  เหยื่อที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด มีทั้งชาย หญิง รวมทั้งเด็กอายุ 7 ขวบ ซึ่งมาจากทุกชนชั้น นอกจากนี้ในบริเวณมณฑลเทเวช ในเยอรมนี ในช่วงเวลา 6 ปี มีผู้หญิงถึง 368 คน จาก 22 หมู่บ้าน ถูกประหารด้วยข้อหาของการเป็นแม่มด ตัวเลขเหล่านี้ สร้างความหวาดผวา ให้กับคนในยุคนั้นเป็นอย่างมากจนแทบไม่ต้องทำมาหากิน อีกทั้งยังไม่กล้าทำอะไรที่แตกต่างไปจากคนอื่นๆในสังคม  เนื่องจากเกรงว่าไม่รู้ว่าตัวเองจะถูกใส่ความว่าเป็นแม่มดเมื่อไหร่ ความหวาดกลัวนี้ ได้เกาะกุมจิตใจของชาวตะวันตก จนกลายเป็นยุคมืดอันยาวนาน ที่ทำให้การพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เป็นไปอย่างเชื่องช้า

 

พ่อมดและแม่มด มนต์ดำ
แบ่งปัน:
Line borderless Line borderless

ประวัติศาสตรผี ปีศาจ และอมนุษย์ทั่วโลก

  • สัตว์ประหลาดในตำนาน นิทานพื้นบ้านและภูตจากทั่วโลก (113)
  • ตำนานเมืองสยองขวัญทั่วโลก (84)
  • ผีในทวีปออสเตรเลีย (4)
  • เรื่องราวแปลกประหลาดและน่าสนใจทั่วโลก (42)
  • พ่อมดและแม่มด เวทมนตร์ อัญมณีและของขลัง (50)
  • เกมผี เกมสยองขวัญ (35)
  • ผีในประเทศญี่ปุ่น (385)
  • หนังสยองขวัญ การ์ตูนผี และเพลงต้องสาป (581)
  • ฆาตกรและปีศาจในคราบมนุษย์ (42)
  • เทพ ยมฑูต และเทวตำนาน (57)
  • ผีในทวีปแอฟริกา (15)
  • ผีในทวีปเอเชีย (88)
  • อมนุษย์ ปีศาจและเดรัจฉาน (142)
  • สถานที่สิงสู่ของผีเฮี้ยนทั่วโลก (323)
  • ความเชื่อ พิธีกรรมและสิ่งของต้องสาป (107)
  • เรื่องผีสั้นๆ (476)
  • ผีในทวีปยุโรปและอเมริกา (234)
  • ผีในประเทศไทย (44)

ค้นหาจาก Tag ... คลิก!

เซย์ยู (Seiry) มังกรฟ้าสัตว์เทพศักดิ์สิทธิ์ผู้พิทักษ์ทิศตะวันออกของประเทศญี่ปุ่น
เรื่องผีสั้นๆ “งานศพ”
[[รีวิวซีรีส์ผี แต่ไม่สปอย]] Ju-on: Origins กำเนิดโครตผีดุ
เรื่องผีสั้นๆ “ให้พวกเราเข้าไป”
ตำนานผีญี่ปุ่น ฮาซามิดาจิ (Hasamidachi) ภูตผีกรรไกรตัดด้าย
[[รีวิวหนังสยองขวัญ แต่ไม่สปอย]] The End? หลบซอมบี้คลั่ง
Copyrights © 2023 All Rights Reserved by amorerana.com.
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา