การ์กอย.. เป็นหนึ่งในสัตว์ประหลาดที่มักปรากฏตัวในนวนิยาย และภาพยนตร์ยุคใหม่หลายเรื่อง ในฐานะของปีศาจศิลาที่มีรูปร่างคล้ายค้างคาว ใบหน้าคล้ายมนุษย์ ถ้าหากใครเคยเดินทางไปยังย่านเมืองเก่าของทวีปยุโรปที่มีตึกยุคสมัยโกธิครุ่งเรือง อาจเคยเห็นรูปปั้นของเหล่าการ์กอยนั่งสงบนิ่งอยู่ตามมุมของหลังคา ยอดของหอคอย พร้อมกับใช้สายตาที่ดูชั่วร้ายมองออกไปด้านนอก ราวกับกำลังจ้องมองบางสิ่งอยู่ตลอดเวลา
ที่มาของคำว่า “การ์กอย”
“การ์กอย”
เดิมที่เป็นคำศัพท์ของฝรั่งเศส มีความหมายว่า “ลำคอ” นักวิชาการบางคนเชื่อว่ารากศัพท์ของคำว่าการ์กอยยังมีความหมายเดียวกับคำว่า
“น้ำยาบ้วนปาก” ส่วนสาเหตุที่ทำให้พวกมันได้รับชื่อนี้ อาจมาจากการทำหน้าที่ในฐานะของช่องทางระบายน้ำจากหลังคา
ด้วยคายน้ำลงไปยังพื้นด้านล่างให้ห่างจากตัวอาคาร เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวอาคารเสียหายจากการถูกน้ำฝนกัดเซาะนั่นเอง
จุดกำเนิด และวิวัตนาการของการ์กอย
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วในตอนต้นว่า เริ่มแรกเดิมทีรูปปั้นการ์กอย ถูกนำมาใช้เป็นสิ่งประดับตกแต่งส่วนยอดของอาคาร โดยทำหน้าที่เป็นรางระบายน้ำที่ขังอยู่บนหลังคาของวิหาร ส่วนหัวของการ์กอยจะทำหน้าที่รวบรวมน้ำเอาไว้เป็นจุดเดียว แล้วปล่อยให้น้ำพุ่งออกมาเป็นสายผ่านปากอันน่าเกลียดน่ากลัวที่ยื่นออกมา แต่การสร้างรูปปั้นการ์กอยกลับมีความปราณีเป็นอย่างมาก พวกมันจะถูกทำการแกะสลักบนพื้นดิน โดยห้ามมีตำหนิ และล้มแตกหักอย่างเด็ดขาด ก่อนที่จะถูกยกขึ้นไปประดับไว้ตามจุดต่างๆอย่างเหมาะสม
ในช่วงแรกแห่งการถือกำเนิด หน้าตาของการ์กอยไม่ได้ดูคล้ายกับค้างคาวเหมือนกับในปัจจุบัน แต่ดูเหมือนจระเข้ หรือสิงโตมากกว่า จากการบันทึกพบว่า การ์กอยที่เก่าแก่ที่สุดของโลกที่ถูกค้นพบมีอายุราว 13,000 ปี ในประเทศตุรกี พวกมันมีหน้าตาเหมือนกับจระเข้ที่ถูกสลักเอาไว้บนแผ่นหิน ในขณะส่วนการ์กอยของชาวอียิปต์โบราณจะมีลักษณะเป็นสิงโตพ่นน้ำ แต่สิ่งเดียวที่เหมือนกันคือ การ์กอยทุกตนทั่วโลกต่างทำหน้าที่พ่นระบายน้ำเหมือนกันมาอย่างนานหลายพันปี
วิหารแห่งซุส
ในประเทศกรีก เดิมทีมีรูปปั้นการ์กอยประดับอยู่มากถึง 102 ตน แต่หลังวันเวลาล่วงผ่านและการต่อสู้กับลม
แดด ฝน เป็นเวลานาน การเสื่อมสถาพของหิน และน้ำหนักที่มากก็ทำให้รูปปั้นการ์กอยส่วนใหญ่พังทลายลงจนในปัจจุบันเหลือรูปปั่นการ์กอยที่น่าเกรงขามหลงเหลือมาให้เห็นเพียงแค่
39 ตน เท่านั้น
ตำนานแห่งการ์กอย
ตามตำนานความเชื่อของชาวคริสต์ มีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการ์กอยเกิดขึ้นมาบ้าง ยกตัวอย่างเช่น “ตำนานนักบุญผู้สังหารปีศาจ” เรื่องราวมีอยู่ว่ากษัตริย์ฝรั่งเศส Clotaire ที่ 2 ได้ทำการจับกุมสัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างคล้ายกับค้างคาวด้วยพลังแห่งไม้กางเขนได้สำเร็จ พระองค์ได้ทรงนำปีศาจตนนั้นกลับไปที่เมืองแล้วพยายามเผาให้กลายเป็นเถ้าถ่าน แต่ผลกลับปรากฏว่าส่วนของลำคอและศีรษะของมันกลับไม่ยอมไหม้ พระองค์จึงได้นำส่วนที่ไม่ไหม้เหล่านั้น ไปทำการตอกติดเอาไว้กับผนังของโบสถ์ของท้องถิ่น โดยหวังให้พลังศักสิทธิ์เพื่อช่วยขจัดความชั่วร้าย และความแค้นของปีศาจตนนั้น
การเข้ามาของศาสนาคริสต์ กับฐานะของการ์กอยที่เปลี่ยนแปลง
เมื่อความเชื่อของศาสนาคริสต์แผ่ขยายไปทั่วดินแดนยุโรป การ์กอยได้ถูกประกาศอย่างเป็นทางการว่า พวกมันเป็นรูปสลักหินที่ถูก “ออกแบบ” มาเพื่อแสดงให้เห็นถึงความไม่ขลาดกลัว และใช้ “ดวงตาชั่วร้าย” คอยจับตามองความชั่วร้ายที่จะเข้าล่อลวง บั่นทอนศรัทธาของผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์
ล่วงเข้าสู่ยุคกลาง แนวคิดในการสร้างการ์กอยเริ่มเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตอย่างเห็นได้ชัด การ์กอยหลายตนถูกแกะสลักให้มีใบหน้าของมนุษย์ โดยอ้างอิงจากบุคคลคนที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น เช่น นักบวชในท้องถิ่น เป็นต้น ในขณะเดียวกันการ์กอยก็ได้ถูกยกระดับฐานะ กลายเป็นตัวแทนของคริสตจักรในการช่วยปกป้องผู้ศรัทธาจากความชั่วร้ายทั้งปวง ซึ่งเป็นกุศโลบายอันแยบยล เพราะในยุคนั้นคนส่วนใหญ่อ่านออกเขียนไม่ได้ ทำให้ไม่สามารถอ่านพระคัมภีร์ หรือมีความรู้พอที่จะทำความเข้าใจกับคำสอน ทำให้ศาสนาคริสต์ต้องเปลี่ยนมาใช้สิ่งที่มองเห็นได้เป็นรูปธรรมอย่างการ์กอยที่มีความน่าเกรงขาม เข้ามาช่วยเป็นสัญลักษณ์ในการปกป้องรักษาผู้ที่ศรัทธา ในขณะที่บางตำนานเชื่อว่าการ์กอยถูกแกะสลักอย่างจงใจให้ดูเหมือนกับ “เทพของคนเหล่าคนเถื่อน” หรือ “คนนอกรีต” เพื่อเป็นกลยุทธ์ในการหลอกล่อให้คนนอกศาสนาเหล่านี้หันมานับถือศาสนาคริสต์มากขึ้น
การ์กอย เริ่มเป็นที่รู้จักทั่วโลกในฐานะของสัตว์ประหลาดราว 100 ปี ก่อน โดยมีลักษณะเป็นปีศาจศิลาที่ถูกสร้างขึ้นให้มีชีวิตที่จะคอยทำตามคำสั่งของผู้สร้างอย่างเคร่งครัด แม้แต่การสังหารศัตรูของผู้เป็นนายหากจำเป็น ซึ่งการ์กอยได้ปรากฏตัวในภาพยนตร์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1932 เรื่อง “Mask of Gargoyles” เนื้อหาเกี่ยวกับการ์กอยศิลาสองตน ที่ถูกสร้างขึ้นมาให้ทำการปล้นเมือง แต่แล้วเรื่องราวทั้งหมดก็จบลงด้วยโศกนาฎกรรม เมื่อพวกมันได้ย้อนกลับมาสังหารผู้สร้างตนเองในภายหลัง
ในปี ค.ศ.1972 การ์กอยเริ่มถูกพรรณนาว่าเป็นหนึ่งในเผ่าปีศาจที่ถูกซาตานจงใจสร้างขึ้น ให้ทำหน้าที่คอยทรมานมนุษย์โดยเฉพาะ อย่างไรก็ตามต่อมาในปี ค.ศ.1990 การ์กอยได้เริ่มถูกเปลี่ยนรูปลักษณ์ให้กลายเป็นฝ่ายฮีโร่ในภาพยนต์และกาตูนหลาย ทำให้การ์กอยเป็นหนึ่งในปีศาจที่ถูกจับโยนเปลี่ยนข้างไปมาระหว่าง “ธรรมะ” และ “อธรรม” โดยขึ้นอยู่กับความเชื่อของคนในโลก ณ ช่วงเวลานั้น
รูปปั้นการ์กอยที่มีชื่อเสียงของโลก
วิหารที่มีการประดับตกแต่งด้วยรูปปั้นการ์กอยที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก หนึ่งในนั้นคือ “มหาวิหาร Notre Dame” ในช่วงก่อสร้าง ค.ศ.1153 มหาวิหารแห่งนี้ไม่ได้มีแผนที่จะสร้างรูปปั้นของการ์กอยแต่อย่างใด แต่พวกมันได้ถูกนำเข้ามาตกแต่งวิหารในปี ค.ศ.1800 ทำให้มหาวิหารแห่งนี้กลายเป็นสิ่งก่อสร้างที่เหมือนหลุดออกมาจากยุคกกลางอีกครั้ง และในช่วง ค.ศ.1200 – 1500 การ์กอย ได้กลายมาเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของสถาปัตยกรรมแห่งยุคทองโกธิคในทวีปยุโรป ส่วนในทวีปอเมกริกาเหนือ สำหรับคนที่อยากชมการ์กอยเป็นจำนวนมากในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เมือง Pittsburgh รัฐเพนซิวาเนีย ซึ่งเมืองนี้ได้ให้ความใส่ใจรับการฟื้นฟูสถาปัตยกรรมแบบโกธิค ทำให้สามารถพบเห็นรูปปั้นการ์กอยอยู่ทั่วทั้งเมืองนั่นเอง
การ์กอย..
เป็นหนึ่งในรูปสลักศิลาที่ลอยคว้างอยู่ท่ามกลางกระแส
ในบางยุคพวกมันก็เป็นตัวตนแห่งความชั่วร้ายเลวทราม เป็นศัตรูของมนุษย์ชาติ
อันน่าสะพรึงกลัว
แต่ในบางเวลาพวกมันกลับเป็นพันธมิตรแห่งธรรมมะที่ทำหน้าที่เสมือนเทพพิทักษ์
ที่ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองผู้ที่ศรัทธาในพระเจ้า
ทำให้การ์กอยเป็นตัวตนที่อยู่ระหว่าง “ความดี” กับ “ความชั่ว” ขึ้นอยู่กับว่าในสมัยนั้น
พวกมันจะถูกยัดเยียดให้สวมบทบาทใด บนเวทีแห่งประวัติศาสตร์นั่นเอง...