อัสวัง คืออะไร!?
“อัสวัง” (Aswang) มีรากคำศัพท์มาจากภาษาสันสกฤต โดยมีความว่า “อสูร (ปีศาจ) ที่ได้รับการผสมผสานคุณสมบัติของผีร้ายหลายชนิด หลอมรวมกันจนกลายเป็นตัวตนของความหลอนที่สร้างความหวาดกลัวให้กับชาวฟิลิปปินส์เป็นอย่างมาก เพราะวิธีการล่าเหยื่อของมันไม่ธรรมดาเหมือนกับผีไทยที่แหวกท้องดึงไส้ แหกตับออกมากินอย่างเอร็ดอร่อย แต่อัสวังแลบลิ้นสุดยาวออกมาแล้วล้วงเข้าไปในรูทวาร เพื่อกินอวัยวะภายใน และถ้าหากเหยื่อเป็นหญิงตั้งครรภ์ อัสวังก็จะล้วงกินทารกอย่างเอร็ดอร่อย หรือบางครั้งก็ใช้ลิ้นที่ยาวลากลักพาตัวเด็กที่พ่อแม่ไม่ใส่ใจดูแลไปกิน
โดยทั่วไปแล้วอัสวังถูกจัดอยู่ในกลุ่มของ “ผีดูดเลือด” ตามที่ปรากฏตัวอยู่ในเทพนิยายปกรณัมของประเทศฟิลิปปินส์ แต่เป็นผีดูดเลือดที่ไม่เกรงกลัวแสงแดด แถมในตอนกลางวันก็ยังใช้ชีวิตในรูปกายของมนุษย์ทั่วไป หลายครั้งมีความสับสนระหว่างอัสวัง กับมานานังกัล(Manananggal) ที่มีพฤติกรรมที่คล้ายคลึงกัน แต่สิ่งที่ทำให้ผีทั้งสองตนนี้แตกต่างกันคือ มานานังกัลมักจะมีการปรากฏกายคล้ายกับผีกระสือ โดยกางปีกค้างคาวขนาดใหญ่แล้วถอดท่อนบนตั้งก่อนราวนมขึ้นไปออกให้เหลือไส้ระโยงระยางแล้วบินออกไปหากิน และสามารถถูกฆ่าตายได้ด้วยแสงแดด แตกต่างจากอัสวังที่แสงแดดไม่สามารถทำอันตรายมันได้
สิ่งที่น่าสนใจคือ เชื่อกันว่าอัสวังจจะไม่ออกล่าเหยื่อ หรือทำร้ายมนุษย์ที่เป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียง เพราะกลัวว่าจะถูกจับได้จากคนที่คุ้นเคยกันดี นอกจากนี้ยังเชื่ออีกว่าในตอนกลางวันอัสวังที่ยังคงเหลืออำนาจวิเศษอยู่บางครั้งก็ทำการมอบสมุนไพรปรุงพิเศษหรือใช้คาถาช่วยรักษาโรคให้กับคนในชุมชนที่อาศัยอยู่ ทำให้เกิดสุภาษิตในภาษาฟิลิปีโนว่า “อัสวังยังดีกว่าโจร” แต่ถ้าหากใครเกิดไปล่วงรู้ความลับว่าตนเองเป็นอัสวัง ก็อาจถูกอัสวังตนนั้นฆ่าเพื่อปิดปากเช่นกัน
ชาวสเปน ที่เข้ามาทำการปกครองฟิลิปินส์ในฐานะเมืองขึ้น ได้บันทึกเกี่ยวกับปีศาจตนนี้เอาไว้ว่า “อัสวัง เป็นภูตผีปีศาจ ที่น่ากลัวมากที่สุดของประเทศฟิลิปปินส์”
สาเหตุที่ชาวสเปนได้กล่าวถึงอัสวังเช่นนั้น เป็นเพราะปีศาจตนนี้เป็นความเชื่อในเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติพื้นบ้าน ที่ขัดขวางการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ ในขณะที่หลายคนเชื่อว่าที่จริงแล้วอัสวังถือกำเนิดขึ้นมาจากการเข้ามาของศาสนาคริสต์ในประเทศฟิลิปปินส์ ทำให้เกิดปีศาจอัสวัง จากการผสมผสานแวมไพร์ แม่มด และมนุษย์หมาป่าเข้าด้วยกัน แต่อัสวังเป็นที่รู้จักจนกระทั่งกลายมาเป็น “ผีประจำชาติฟิลิปปินส์” ในช่วงการปกครองด้วยระบอบเผด็จการของรัฐบาลมาร์กอส
ชาวฟิลิปปินส์ ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ต่ำของฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะเขตวิซายันตะวันตก จังหวัดกาปิซ ในเกาะปาไนย์ มีความเชื่อเกี่ยวอัสวังเป็นอย่างมาก จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “บ้านเกิดของอัสวัง” ในขณะที่เขตอีโลโกส ไม่มีความเชื่อเกี่ยวกับอัสวังแต่อย่างใด
เหตุผลสำคัญที่ทำให้อัสวัง เป็นที่หวาดกลัวของชาวฟิลิปปินส์
นอกจากเรื่องราวความสยดสยอง อัสวังยังถูกนับว่าเป็นตัวแทนหรือสาเหตุในการเกิดโรคภัยไข้เจ็บ การแพร่ระบาดของโรคที่หาสาเหตุไม่ได้ เคราะห์กรรมคราวซวย หรือแม้แต่เกิดปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่ไม่สามารถหาเหตุผลได้ ชาวฟิลิปปินส์ล้วนเชื่อว่าเป็นฝีมือของอัสวัง จึงยิ่งเป็นเชื้อไฟทำให้เรื่องราวของอัสวังโด่งดังฝังลึกเข้าไปในจิตใจของชาวฟิลิปปินส์มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ประเภทของอัสวัง
อัสวัง สามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ประเภท ตามลักษณะภายนอกและฤติกรรมที่แตกต่างกัน ดังต่อไปนี้
อัสวัง ผีกินศพ
อัสวัง ประเภททนี้มีความสามารถในการแปลงกาย “เป็นสิ่งมีชีวิตแรกที่เห็นขณะออกล่าเหยื่อ” ทำให้หลายครั้งพวกมันปลอมเป็นมนุษย์ที่เห็นแล้วใช้รูปลักษณ์ภายนอกที่เหมือนกันทุกประการไปทำเรื่องเลวร้าย การหากินของอัสวังประเภทนี้จะมีความคล้ายกับผีปอบของประเทศไทย มักลักขโมยเอาศพมนุษย์มากินเป็นอาหาร ชื่นชอบศพที่เพิ่งเสียชีวิตได้ไม่นานนัก หลังจากที่อิ่มสำราญดีแล้วมันก็จะแอบเอาต้นกล้วยมาวางแทนศพที่ได้ทำการกินไปแล้ว แล้วใช้เวทมนตร์เปลี่ยนให้วัตถุนั้นมีภายนอกเหมือนกับศพทุกประการ อัสวังประเภทนี้บางตัวผอมบางมากจนสามารถหลบอยู่หลังต้นไผ่ได้ บางตัวเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วราวลมพัด และบางตัวชอบส่งเสียดังข่มขู่ เพื่อทำให้เหยื่อตกใจ หวาดกลัว
อัสวัง ผีดูดเลือด (บัล-บัล)
อัสวัง ประเภทนี้ถูกเรียกว่า “มันดูรูโก” มักจำแลงกายมาเป็นหญิงสาวแล้วลวงให้ชายที่หลงรักแต่งงานด้วย จากนั้นจะค่อยๆทำการสูบเลือดของคู่ครองไปเรื่อยๆจนกว่าจะแห้งตาย แล้วจึงค่อยออกไปล่อลวงเหยื่อรายใหม่อีกครั้ง ซึ่งชาวฟิลิปปินส์บางส่วนก็เชื่อว่าปีศาจมานานังกัลก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้อัสวังประเภทนี้ยังมีเทคนิคเดินถอยหลัง แล้วส่งเสียงเหมือนกับว่าตนเองกำลังเดินห่างไกลออกไป จนกระทั่งเหยื่อรู้สึกปลอดภัย พวกมันจึงกลับมาจู่โจมอีกครั้ง
อัสวัง ยักษ์กินคน
อัสวัง ประเภทนี้ ถูกจัดอยู่ในกลุ่มของมนุษย์กินคน ที่นิยมจับคน จับเด็กมาประกอบปรุงเป็นอาหาร โดยตำนานของผีปอบลือชื่อในตำนานของชาวฟิลิปปินส์อย่าง “มาเรีย ลาโป” (Maria Labo) ได้ถูกจัดอยู่ในอัสวังกลุ่มนี้เช่นกัน
อัสวัง ปีศาจครึ่งคนครึ่งสัตว์
อัสวัง ประเภทนี้ เมื่อตกกลางคืนส่วนใหญ่จะแปลงกายเป็นหมาดำ หรือแมวดำ แอบเข้าไปในบ้านของเหยื่อที่หมายตาเอาไว้ โดยส่วนใหญ่แล้วมักที่จะเป็นผู้หญิงท้องแก่ เมื่อย่องอย่างเงียบกริบเข้าไปจนอยู่ใกล้เหยื่อ อัสวังก็จะใช้เล็บที่แหลมคมกรีดลงไปบนหน้าท้อง แล้วควักเอาเด็กที่อยู่ในท้องออกมากินเป็นจานหลัก แล้วตามด้วยเครื่องในของเหยื่อ นอกจากนี้ในบางครั้งพวกมันก็กลายร่างเป็นนกขนาดใหญ่ เป็นตัวแทสมาเนียน อีกา ค้างคาว หรือหมูป่า ได้อีกด้วย
อัสวัง แม่มดและหมอผี (กูกูรัม)
อัสวังประเภทนี้ มีลักษณะเป็นพ่อมด แม่มด ที่มีวิชาอาคม โดยเฉพาะมนต์ดำ มักใช้ตุ๊กตาสาปแช่ง ทำการเสกแมลง กางป้าหรือเศษแก้วเข้าตัวเหยื่อจนทำให้ถึงแก่ความตาย เชื่อว่าหากในชุมชนใดมีกูกูรัมอาศัยอยู่จะทำให้ชาวบ้านเจ็บป่วยด้วยโรคร้าย หรือฆ่าให้ตายด้วยวิชาอาคม
ลักษณะที่น่าสนใจของอัสวัง
อัสวัง เป็นผีที่ไม่มีรูปร่างที่ตายตัว เนื่องจากลักษณะของมันจะเปลี่ยนแปลงไปตามความเชื่อตามภูมิภาคของประเทศฟิลิปปินส์ สิ่งเดียวที่เหมือนกันคือความเชื่อว่าเมื่อมันปรากฏตัวแล้วเดินเข้ามาหาจะมีเสียงดัง “ติ๊ก... ติ๊ก...” อยู่ตลอดเวลา แต่โดยทั่วไปแล้วอัสวังมักจะปรากฎตัวให้เห็นในสองรูปแบบดังต่อไปนี้
จำแลงกายเป็นสัตว์
อัสวัง มีความสามารถในการจำแลงกายเป็นสัตว์หลากหลายชนิดได้ตามที่ต้องการ แต่สัตว์ที่อัสวังนิยมแปลงกายมากที่สุดคือ “สุนัข” นอกจากนั้นก็มักที่จะแปลงเป็น แมว นก ค้างคาว หรือหนู
จำแลงกายเป็นหญิงสาว
บางตำนานเล่าว่า อัสวังจะแปลงกายเป็นหญิงงามออกล่าเหยื่อ เมื่อเหยื่อติดกับมันก็จะใช้ลิ้นยาวล้วงผ่านรูทวารกินตับไตไส้พุงจนหมด หรือหลอกล่อชายหนุ่มให้หลงรักจนแต่งงานด้วย จากนั้นอัสวังจะค่อยๆทำการดูดเลือดจากซอกคอของสามีวันละเล็กน้อย แต่เมื่อไหร่ที่สามีร่างกายเหี่ยวเฉาขาดเลือดหล่อเลี้ยงอัสวังสาวก็จะเริ่มออกไปหลอกล่อเหยื่อรายใหม่ในทันที และบางครั้งอัสวังก็ปรากฏตัวในรูปลักษณ์ของหญิงสาวที่มีปีกค้างคาว ฟังดูแล้วคล้ายคลึงกับปีศาจสาว “ซัคคิวบัส” ของฝั่งยุโรป
อาหารจานโปรดของผีร้ายอัสวัง
โดยทั่วไปอัสวังจะไม่ออกหากินยกเว้นตอนหิว โปรดปรานการกินเด็กทารกที่ยังอยู่ในครรภ์มารดา หรือเด็กทารกที่พึ่งคลอด นอกจากนี้ยังชอบปอด และหัวใจของมนุษย์เป็นอย่างมาก
การสืบทอดทายาทของอัสวัง
ถูกสาปให้กลายเป็นอัสวัง
ตำนานการสืบทอดอัสวังที่โด่งดังมากที่สุด เป็นเรื่องราวของ “มาเรีย ลาโบ” ภรรยาของนายตำรวจ ที่ทำงานพิเศษคอยดูแลชายชราในเมือง เธอถูกชายชราสาปให้กลายเป็นทายาทอัสวัง หลังจากที่ชายชราเสียชีวิต มาเรียเดินทางไปทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ที่ประเทศอังกฤษ (บ้างว่าประเทศแคนาดา) หลังจากทำงานอยู่สามปี มาเรียเดินทางกลับมายังประเทศฟิลิปปินส์ ในขณะเดียวกันคำสาปเริ่มส่งผลเปลี่ยนให้เธอกลายเป็นอัสวัง เริ่มจากอาการผิดปกติอย่างการเบื่ออาหาร และเริ่มมีความรู้สึกอยากที่จะกินของดิบ ของสด อย่างไม่รู้ตัว
ในที่สุดด้วยความหิวกระหาย เธอได้จับลูกน้อยสองไปฆ่าแล้วนำชิ้นส่วนมาต้มเป็นอาหารเย็น เมื่อสามีกลับมาบ้านแล้วพบเพียงความมืดและความเงียบ ซึ่งผิดปกติจากปกติที่ลูกๆจะวิ่งมาต้อนรับอย่างอบอุ่น เมื่อเห็นแสงไฟจากห้องครัว เขาจึงเดินเข้าไปแล้วพบกับภรรยาที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำอาหารอยู่ เขาจึงได้ถามหาลูกทั้งสอง มาเรียชี้ไปที่หม้อใบใหญ่ที่อยู่บนเตา เมื่อสามีเปิดหม้อดูเขาได้พบศีรษะและชิ้นส่วนอันน่าสยดสยองของเหล่าลูกน้อยถูกสับและปรุงรสพร้อมเสิร์ฟ
“เธอเป็นบ้าอะไร!?” สามีร้องลั่น ในขณะที่มาเรีย คว้ามีดขึ้นมาถือไว้ในมือ ทำให้สามีต้องพุ่งเข้าไปแย่งกันพักใหญ่ และในที่สุดสามีก็ได้ใช้มีดทำครัวที่แย่งมาได้ฟันใส่ใบหน้าของเธอจนกลายเป็นแผลขนาดใหญ่แล้วขับไล่เธอออกไปจากบ้าน หลังจากนั้นตำนานของมาเรียหญิงที่มีบาดแผลฉกรรจ์จากมีดบนใบหน้าก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อมีคนพบเห็นเธอไปอาละวาดหาเนื้อสดและเครื่องในเป็นอาหารในเขตป่าลึกของเขตวิซายาและมินนา โดยแปลงร่างเป็นอะไรก็ได้ตั้งแต่สาวสวยเพื่อหลอกล่อเหยื่อ ปลอมตัวเป็นหญิงชรา หรือสัตว์ป่าที่ดุร้าย เป็นต้น เรื่องราวของมาเรียเฮี้ยน! หนักจนถึงขนาดถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์สยองขวัญในปี 2015 ในชื่อเดียวกัน
แต่งงานอยู่กินกับอัสวัง
บางครั้งอัสวังอาจแต่งงานอยู่กับมนุษย์ แล้วทำการเปลี่ยนให้คู่ของตัวเองกลายเป็นอัสวังไปด้วย จากนั้นอัสวังทั้งคู่ก็จะออกหากินล่าเหยื่อด้วยกัน แต่จะไม่แบ่งปันเหยื่อที่ตนเองล่ามาได้ให้กับคู่ของตัวเอง
การเปลี่ยนเป็นอัสวังด้วยตัวเอง
มนุษย์สามารถทำการเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นอัสวังได้ ด้วยการผูกไข่ไก่ที่ได้รับการปฎิสนธิแล้วผูกเอาไว้ที่ท้องบริเวณกระเพาะอาหาร เมื่อลูกไก่ฟักเป็นตัวผ่านเข้าไปในเนื้อหนังเข้าไปอาศัยอยู่ในท้อง ให้ทำการฝังเปลือกไข่เอาไว้ในน้ำมันมะพร้าวผสมมูลไก่ในกระบอกไม้ไผ่ เมื่อทำแบบนั้นก็จะได้รับพลังของอัสวัง เชื่อว่าหากอัสวังประเภทนี้ใกล้ตาย พวกมันจะหาทายาทโดยการจับเหยื่อที่เลือกง้างปากให้กว้างแล้วปล่อยให้ลูกไก่ในท้องกระโดดออกจากปากของอัสวังไปอาศัยอยู่ในร่างกายของทายาทต่อไป
วิธีการสังเกตว่าใครคืออัสวัง
สำหรับการตรวจสอบว่าใครเป็นอัสวัง สามารถทำได้ด้วยการมองลอดหวางขาของตัวเอง ถ้าหากคนที่มองอยู่กลายร่างเป็นสุนัขหรือแมวดำ แสดงว่าคนๆนั้นเป็นหนึ่งในอัสวัง หรือใช้น้ำมันเสกของหมอผี ที่เรียกกันว่า “Hintura” ที่จะเดือดขึ้นมาเองเมื่อมีอัสวังอยู่ใกล้ๆ
อีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมคือการสังเกตที่ดวงตา เชื่อกันว่า “อัสวังมีตาสีแดงก่ำ” เพราะพวกมันจะตื่นอยู่ตลอดทั้งคืนเพื่อค้นหาบ้านที่พึ่งฝังศพเพื่อที่จะได้เข้าไปขโมยศพ นอกจากนี้หากจ้องมองในดวงตา แล้วพบว่าภาพของตัวเองกลับหัวกลับหางแสดงว่าอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน...
อัสวัง หวาดกลัวอะไรบ้าง!?
ชาวฟิลิปปินส์เชื่อกันว่าอัสวังเกรงกลัว กระเทียม เกลือ น้ำมนต์ ไม้กางเขน และลูกประคำ ทำให้หลายคนพกพาสิ่งของเหล่านี้ติดตัวยามออกไปนอกบ้าน พร้อมกับแขวนพวกมันเอาไว้ที่ประตูบ้าน และยังนำลูกประคำ (หรือกำไล) สีแดงสลับดำมอบให้เป็นของขวัญกับเด็กทารกแรกเกิดเพื่อเป็นการขจัดภัยคุกคามจากอัสวังอีกด้วย นอกจากนี้ อัสวัง ยังอ่อนแอต่อ “เชือกที่ทำจากต้นหมาก” หากมัดอัสวังด้วยเชือกชนิดนี้ก็จะทำให้อัสวังหมดเรี่ยวแรงขัดขืน
อัสวัง สามารถถูกฆ่าได้ด้วยใช้ “หางปลากระเบน” แทงใส่หัวใจ หรือใช้ “แส้หางปลากระเบน” ฟาดใส่ ด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้อัสวังเกรงกลัวเสียงแส้แหวกอากาศ การสังหารอัสวังอย่างถูกต้องด้วยวิธีนี้ ยังเป็นการช่วยสะกดวิญญาณของอัสวังไม่ให้ย้ายไปสิงในร่างอื่นได้อีกด้วย
อัสวัง กับวิทยาศาสตร์
นักมนุษย์วิทยาหลายคนเชื่อว่า อัสวัง เป็นเรื่องราวของปีศาจที่ถูกสร้างขึ้นด้วยฝีมือของชาวสเปนที่เคยเข้ามาล่าอาณานิคมในฟิลิปปินส์ เพื่อใช้ในการควบคุมจำนวนประชากร เมื่อมีปีศาจร้ายที่น่ากลัวอาศัยอยู่ในป่าก็จะทำให้ชาวฟิลิปปินส์ที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวออกมาจากป่ามารวมตัวกันอยู่ในเมืองมากขึ้น ทำให้การควบคุมและรักษาอำนาจของชาวสเปนเป็นไปได้อย่างมั่นคงมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังเชื่ออีกว่าตำนานของอัสวัง อาจมาจากโรคพันธุ์กรรมบางอย่าง เช่น X-linked dystonia parkinsonism และ Dystonia of Panay เป็นต้น ทำให้คนที่ป่วยเป็นโรคนี้ได้รับความรังเกียจจากชาวบ้านในพื้นที่จนนำไปสู่การเสริมเติมแต่งเรื่องราวแบบปากต่อปาก กระทั่งกลายเป็นตำนานอัสวังขึ้นมา เหตุผลที่นักวิทยาศาสตร์ตั้งสมุติฐานในเรื่องนี้ เป็นเพราะลักษณะทางกายภาพของผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ มีความใกล้เคียงกับภาพลักษณ์ของอัสวังอย่างมากเลยทีเดียว
ในปัจจุบันเรื่องราวของอัสวังก็ยังคงได้รับการกล่าวถึงในสังคมฟิลิปปินส์ แถมยังเพิ่มเติมด้วยความหลากหลายในรูปแบบของการปรากฏกายมากขึ้น ในขณะเดียวกันทั้งชาวบ้านและนักสื่อสารมวลชน ก็ยังให้ความสนใจกับการปรากฏตัวของปีศาจสุดหลอนตนนี้อย่างไม่เคยเสื่อมคลายเช่นกัน....