ศาสตร์เวทมนตร์ (Magic) ของพ่อมดและแม่มด
“Magic” หรือเวทมนตร์ เป็นศาสตร์วิธีการควบคุมธรรมชาติของโลก รวมทั้งเหตุการณ์ วัตถุ และปรากฏการณ์ทางกายภาพอื่นๆ ผ่านวิธีการที่ลึกลับเหนือธรรมชาติ ด้วยพิธีกรรมที่ซับซ้อน และใช้เวลาอันยาวนาน ความแข็งแกร่งของเวทมนตร์ของแม่มด มักได้รับมาจากการทำสมาธิ การสร้างมโนภาพ และความเข้มข้นของจินตนาการ ในขณะที่แหล่งพลังงานของแม่มด มักมาจากสามแหล่งใหญ่ๆ คือ
1.อำนาจส่วนบุคคล เป็นอำนาจที่อยู่ภายในร่างกายของมนุษย์ทุกคน ที่ได้รับมาจากการฝึกฝนอย่างยาวนานด้วยตัวเอง
2.อำนาจของโลก เป็นอำนาจที่อยู่ภายในดาวเคราะห์ และวัตถุต่างๆที่มีอยู่ในธรรมชาติ ได้แก่ หิน ต้นไม้ ลม ไฟ น้ำ คริสทัล น้ำมัน และกลิ่น เป็นต้น
3.พลังอำนาจของพระเจ้า เป็นอำนาจทางจิตวิญญาณที่ต้องติดต่อผ่านช่องทางพิเศษ ด้วยการสร้างสัมพันธ์กับเทพธิดา หรือพระเจ้า ในขณะที่แม่มดดำ มักทำการติดต่อเพื่อขออำนาจจากพระเจ้าแห่งความมืด
ตลอดประวัติศาสตร์ แม่มดต่างต้องเผชิญหน้ากับการกดขี่ข่มเหง เพราะความเข้าใจผิดต่างๆ เกี่ยวกับการใช้คาถาที่ดูลึกลับ แต่อย่างไรก็ตาม คาถาของแม่มดนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องชั่วร้าย หรือสร้างความเสียหายให้เกิดอันตรายกับผู้อื่นเสมอไป ที่สำคัญ ข้อกล่าวหาที่มักยกมาอ้างว่า เวทมนตร์ของแม่มดเป็นอันตราย มักเป็นเรื่องที่เลื่อนลอยไร้สาระ แถมไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน คนส่วนใหญ่หวาดกลัวแม่มดอย่างไร้เหตุผล รวมเข้ากับความวิตกจากเหตุการณ์ร้ายต่างๆ ที่บังเอิญเกิดขึ้นในสังคม ณ ช่วงเวลานั้น เท่านั้น
จุดกำเนิดของเวทมนตร์ (Magic)
“เวทมนตร์” เป็นคำที่เกิดขึ้นมาจากลัทธิลึกลับใน “hoi mystikoi” ที่เกิดขึ้นในสมัยกรีก-โรมัน ผู้ที่ได้เข้าร่วมพิธีกรรมทั่วไป และพิธีกรรมลับ ที่ถูกเรียกว่า "TA mystika" ประเพณีปรัชญาโบราณ ของพิทาโกรัส และเพลโต สามารถเข้าถึง รวมไปถึงพิจารณาความลึกลับของธรรมชาติ เพราะเชื่อกันว่า “ความจริง” เป็นสิ่งที่มากเกินกว่าความเข้าใจ การรับรู้ และปัญญาของมนุษย์ ดังนั้น เวทมนตร์ จึงได้ถูกนำมาใช้ในการอธิบายเรื่องราวต่างๆที่ยังครุมเครือไม่ชัดเจน หรือวิทยาศาสตร์ ยังไม่สามารถทำการพิสูจน์ อธิบายได้ นั่นเอง
เวทมนต์(Magic) เป็นคำเรียก ที่มีความหมายโดยรวมของเวทมนต์คาถา ไสยศาสตร์ เป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เป็นพลังอำนาจบางอย่างที่ถือครองโดยมนุษย์ ดลบันดานให้เกิดเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเหล่าต่างๆขึ้นมา
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทำให้เ เวทมนตร์ กลายเป็นสิ่งที่สิ่งลี้ลับที่อยู่เหนือความเข้าใจของผู้คน ในยุคสมัยที่วิทยาศตร์ยังอ่อนแอ เวทมนตร์จึงมีอำนาจที่แรงกล้าเหนือความเชื่อ ทรงพลัง และน่าเกรงขามราวกับภัยพิบัติธรรมชาติ ไม่มีการบันทึกเอาไว้ว่าเวทมนต์ถือกำเนิดมาได้อย่างไร แต่เชื่อกันว่ามันกำเนิดขึ้นมาอย่างยาวนาน พร้อมๆกับมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ มนุษย์ที่ยังโง่เขลาเบาปัญญา เชื่ออย่างสุดหัวใจว่าภัยพิบัติจากธรรมชาติ ล้วนแล้วเกิดขึ้นจากอารมณ์โกรธเกรี้ยวของธรรมชาติ ที่เปลี่ยนแปลงเหมือนกับอารมณ์ของมนุษย์
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อแม่น้ำไหลเชี่ยวอย่างรุนแรงเข้าทำลายที่อยู่อาศัยของเผ่า ชาวเผ่าเหล่านี้ก็จะใช้ตัวเองเป็นที่ตั้ง โดยเข้าใจไปเองว่าแม่น้ำคงจะโมโหหิว จึงได้มีการโยนเสบียงอาหารลงไปในแม่น้ำ เพื่อช่วยบรรเทาความหิว ลดความโกรธของแม่น้ำให้น้อยลง หรือทำการร่วมกันกู่ร้องในขณะที่เกิดสุริยุปราคาเพราะเชื่อว่าจะ เสียงกู่ร้องดังๆ สามารถช่วยขับไล่ความมืดมิดออกไปจากดวงอาทิตย์ได้ เป็นต้น
ความเชื่อเหล่านี้ กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของ “พิธีกรรม” ในช่วงแรกๆทุกคนในเผ่าจะมาร่วมทำพิธีกรรมร่วมกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานๆเข้า สังคมมีความเจริญมากขึ้น ภาระหน้าที่ของทุกคนในสังคมเองก็มีมากขึ้นตามไปด้วย ทำให้หน้าที่ในการทำพิธีกรรมตกไปอยู่กับคนเพียงคนเดียว ทำให้ “นักเวทมนตร์” ถือกำเนิดขึ้นมาในที่สุด นักเวทมนตร์ มักถูกคัดเลือกจากคนที่เฉลียวฉลาด ไหวพริบดี มีอายุมากที่สุดของกลุ่ม หรือในบางครั้ง อาจจะเป็นตำแหน่งการสืบทอดจากบรรพบุรุษจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง ตำแหน่งของนักเวทย์ แม้แต่หัวหน้าเผ่าที่เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด ก็ยังต้องให้ความเคารพยำเกรง และมาขอคำปรึกษาก่อนการออกล่าสัตว์ หรือการออกรบ
นักเวทมนต์ในยุคแรกๆ มักใช้เวทมนต์ในด้านดี และมีประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นนักเวทมนต์ขาว นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นหมอ คอยรักษาลูกเผ่าด้วยความรู้ด้านยาสมุนไพรต่างๆที่ได้รับการถ่ายทอดมากจากนักเวทมนต์รุ่นก่อนๆ หรือการเยียวยาความเจ็บป่วย บาดแผล ด้วยเวทมนต์โดยการทำพิธีกรรมอัญเชิญวิญญาณฝ่ายดี และเหล่าเทวดามาช่วยในการรักษา รวมไปถึงปกป้องคุ้มครองเหล่านักรบที่กำลังจะเดินทางไปสู่สนามรบ เป็นต้น
เมื่อเวลาผ่านไป เวทมนตร์บางคนที่ความโลภเข้าครอบงำ ได้เริ่มมีการนำเวทมนต์ไปใช้ในด้านมืด ด้วยการจ้างวานโดยมีผลประโยชน์ต่างๆตอบแทน เพื่อให้นักเวทย์ประกอบพิธีกรรม อันมุ่งร้ายหมายทำลายชีวิตผู้อื่นเพื่อผลประโยชน์ต่างๆ เช่น ถ้าอยากครอบครองภรรยาของผู้อื่น วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือทำให้หล่อนเป็นหญิงม่ายเสียก่อน เป็นต้น ทำให้เหล่านักเวทมนต์ดำ เริ่มเห็นช่องทางในการได้มาซึ่งผลประโยชน์ ชื่อเสียง และของกำนัล จนทำให้เส้นทางในการใช้เวทมนตร์ตกลงสู่เส้นทางเสื่อมในที่สุด
เดิมที่เวทมนต์นั้นเกิดขึ้นจากการยืมพลังจากวิญญาณฝ่ายดี หรือเหล่าวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ในธรรมชาติเพื่อช่วยเหลือผู้คน แต่เมื่อต้องการทำร้ายผู้คน นักเวทมนต์ดำจึงได้หันไปนับถือปีศาจ เพื่อให้สามารถยืมพลังจากเหล่าวิญญาณที่ชั่วร้ายกร้าวราว กระหายเลือด ที่จะทำร้ายผู้คนอยู่ตลอดเวลา เมื่อมีอำนาจมากขึ้น นักเวทมนต์ดำหลายคนที่ลุ่มหลงในอำนาจ จึงได้ทำการตั้งตัวเองขึ้นเสมือนตุลาการของเผ่า พร้อมกับออกกฎเหล็กต่างๆ เพื่อให้คนในเผ่าเชื่อฟังอย่างเคร่งครัด แน่นอนว่าทุกคนย่อมต้องก้มหน้าก้มตาทำตาม เพราะเกรงกลัวพลังอำนาจเวทมนต์ที่ยิ่งใหญ่ ที่สามารถควบคุมธรรมชาติได้ กฎต่างๆที่ถูกบัญญัติขึ้นโดยนักเวทมนต์เหล่านี้ถูกเรียกว่า “ตาบู” มีความหมายว่า “ต้องห้าม ด้วยเหตุผลอันศักดิ์สิทธิ์” หลังจากนั้น นักเวทมนตร์ดำ และเวทมตร์ขาว จึงได้แยกออกจากกันอย่างชัดเจน อีกทั้งสองฝ่ายยังมักกระทบกระทั่งกันบ่อยๆ เนื่องจากความเชื่อในการใช้เวทมนตร์ที่แตกต่างกันแบบสุดขั้วนั่นเอง
ในความเป็นจริงแล้ว เวทมนตร์ โดยทั่วไปถือว่าเป็นรูปแบบของประเพณีย่อยภายในศาสนาที่มีขนาดใหญ่ แต่ไม่ได้รับการยอมรับมากนัก เพราะศาสนาส่วนใหญ่มองว่าเป็นสิ่งที่ด้อยกว่าการสั่งสอนจากนักบวช อย่างไรก็ตาม คงปฎิเสธไม่ได้ว่า หลายครั้งที่เวทมนตร์ปรากฏขึ้น ความลึกลับ และปาฏิหาริย์ต่างๆ ล้วนแล้วแต่ช่วยเรียกความเลื่อมใสให้กับผู้คนที่สนใจในศาสนาอย่างมาก เช่น การพยากรณ์ เป็นต้น นอกจากนี้ การ “สวดภาวนา” “สวดมนตร์” หรือพิธีกรรมต่างๆของศาสนา โดยมีเป้าหมายเพื่อขอพรให้พระเจ้า เทวดา หรือพลังเหนือธรรมชาติใดๆ เข้ามาแทรกแซงกฏธรรมชาติ รวมไปถึงกิจกรรมต่างๆของมนุษย์เอง ก็สามารถกล่าวได้ว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของการใช้เวทมนตร์เช่นกัน
เวทมนตร์ เป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากเวทมนตร์ได้นำเสนอความสะดวกสบายให้กับผู้คน เช่น เสนอให้ขายวิญญาณส่วนหนึ่ง แลกกับเสน่ห์ที่ทำให้ผู้พบเห็นเกิดความหลงใหล ถือเป็นประโยชน์อย่างมากต่อชีวิตทางสังคม เป็นต้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ เวทมนตร์ สามารถจูงใจ เข้าถึงคนธรรมดาได้เป็นอย่างดี และสามารถพบการใช้เวทมนตร์ได้ในเกือบทุกชนชั้นสังคมแบบดั้งเดิม ผลงานศิลปะในยุคก่อนประวัติศาสตร์มากมาย แสดงให้เห็นถึงพิธีกรรมต่างๆ ที่ล้วนเกี่ยวข้องกับเวทมนตร์ เพื่อช่วยเรียกความมั่นใจว่าการออกล่าสัตว์จะประสบความสำเร็จ และยังมีพิธีกรรมทางศาสนา ที่ผู้เข้าร่วมสวมเครื่องแต่งกายเป็นสัตว์ แล้วร่วมกันร้องเพลงเต้นรำ หรือเหล่า “ชาแมน” ที่ทำหน้าที่เป็นร่างทรงสื่อกลางในการติดต่อกับวิญญาณ ผ่านการดำดิ่งลงไปสู่ห้วงความฝัน ก็อาจเป็นหนึ่งในรูปแบบของการใช้เวทมนตร์ ที่เก่าแก่ที่สุดของโลกเช่นกัน
แม่มดในสมัยโบราณ Sumeria และ Babylonia เชื่อว่า โลกนี้เต็มไปด้วย “จิตวิญญาณ” และส่วนใหญ่ไม่เป็นมิตรระหว่างกัน มนุษย์แต่ละคนจึงควรมีจิตวิญญาณของตัวเอง เพื่อที่จะช่วยปกป้องตัวเองจากปีศาจ และศัตรู การต่อสู้ปกป้องตัวเองนั้น สามารถทำได้ก็ต่อเมื่อใช้เวทมนตร์ เครื่องราง และนักไล่ผี เท่านั้น
ความเชื่อเกี่ยวกับเวทมนตร์ของชาวตะวันตก ส่วนใหญ่เริ่มต้นมาจากนิทานปรัมปราโบราณ ของชาวอียิปต์ ฮีบรู กรีก และโรมัน แม่มดของอียิปต์ เป็นต้นแบบในการใช้สติปัญญา ความรู้ เวทมนตร์ และสัญลักษณ์ต่างๆ ในการบิดเบือนพลังของจักรวาล เพื่อวัตถุประสงค์ของตัวเอง หรือผู้ที่ร้องขอ เฉพาะ ชาวกรีก ที่มีรูปแบบการใช้เวทมนตร์เฉพาะตัว ที่ใกล้เคียงกับหลักการทางศาสนา เป็นที่รู้จักกันในชื่อของ “Theurgy” ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับเวทมนตร์มหัศจรรย์ มักอ้างว่าเป็นผู้มีความรู้ และมีอำนาจ สามารถช่วยให้ลูกค้ารอดพ้นอันตรายจากศัตรู ด้วยการประกอบพิธีกรรม หรือการใช้สัญลักษณ์บางอย่างที่ เรียกว่า "Mageia"
อย่างไรก็ตาม มีคนจำนวนไม่น้อยที่แย้งว่า รากฐานที่แท้จริงของเวทมนตร์ มาจากชนเผ่าเซลติกส์ ที่มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมากในช่วง 700 ปี ก่อคริสตกาลที่อาศัยอยู่ในตอนเหนือของทวีปยุโรป โดยเฉพาะในเกาะอังกฤษ เชื่อกันว่าแท้จริงแล้ว ชาวเซลติกส์ เป็นลูกหลานของชาวอินโดยุโรป นอกจากในเรื่องของเวทมนตร์แล้ว ขาวเซลติกส์ ยังเป็นศิลปินที่มีพรสวรรค์ นักดนตรี นักเล่านิทาน ช่างเหล็ก เกษตรกรผู้เชี่ยวชาญการเพาะปลูก และเป็นนักรบผู้ดุดัน ที่สร้างความสะพรึงกลัวให้กับจักรวรรดิโรมันอย่างมาก
ชาวเซลติกส์ ยังเป็นคนที่มีความลึกซึ้งทางด้านจิตวิญญาณ พวกเขาเคารพบูชาทั้งพระเจ้า และเทพธิดา ศาสนาของพวกเข้าจะเน้นไปที่การบูชาหลายๆด้าน พร้อมกับเชื่อใน “ผู้สร้างสรรอันศักดิ์สิทธิ์” พวกเขาเชื่อว่าเมื่อความตายมาเยือน พวกเขาจะได้ไปพักผ่อนที่ “Summerland” เพื่อรอการเกิดใหม่อีกครั้ง
ก่อนคริสตกาลประมาณ 350 ปี นักบวชชั้นสูงของชาวเซลติกส์ถูกเรียกว่า “Druids” และได้มีการพัฒนากลายมาเป็นพระสงฆ์ของศาสนาเซลติกส์ในภายหลัง โดยยังคงความเชื่อในความรักที่มีต่อผืนดิน และเคารพในผืนป่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นโอ๊คที่ถือว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์
หลังจากที่ได้มีการผสมผสานความเชื่อที่หลากหลายเข้าด้วยกันของชาวอียิปต์โบราณ ชาวกรีก โรมัน และเซลติกส์ ทำให้เกิดแนวทางการปฎิบัติต่างๆ ขึ้นมา เช่น การปรุงยา การใช้ขี้ผึ้งในการร่ายคาถา การแสดงมายากล เป็นต้น จนกระทั่งกลายมาเป็นต้นแบบของ “เวทมนตร์” ในยุคกลางในที่สุด
เวทมนตร์ มักเป็นอำนาจที่มีอิทธิพลต่อร่างกาย จิตใจ หรือทรัพย์สิน ผู้ที่ใช้เวทมนตร์ที่อันตราย มักจะถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดโรคระบาดในสัตว์เลี้ยง ทำให้พืชผลเกิดความเสียหาย ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งเหล่านี้อาจจะเพียงเกิดขึ้นจากความบังเอิญ หรือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเท่านั้น
เมื่อเวลาผ่านล่วงเลยไปจนคริสต์ศาสนาถือกำเนิดขึ้นมา ศิลปินมากมาย ทำการวาดภาพสวรรค์ และนรกขึ้น เพื่อให้คนทั่วไปเห็นว่าเทพเจ้า และเหล่าเทวดานั้นอาศัยอยู่บนสรวงสวรรค์ ที่สะอาด สวยงาม และสว่างเจิดจ้าท่ามกลางท้องฟ้า อย่างมีความสุขตลอดกาล ในขณะที่ศัตรูของเหล่าทวยเทพ หรือปีศาจ อาศัยอยู่ใต้พื้นโลกที่เต็มไปด้วยความสกปรก มืดมิด อบอวลด้วยกลิ่นสาบรุนแรง และน่าสะพรึงกลัว ทำให้ไม่น่าแปลกใจนักที่คนส่วนใหญ่ย่อมเลือกที่จะหันไปนับถือพระเจ้า โดยหวังว่าสักวันหนึ่งตนเองจะได้ไปอยู่ในสรวงสวรรค์ และรับความสุขชั่วนิรันดร์
หลังจากที่คริสต์ศาสนามีบทบาทมากขึ้น นักเวทมนต์ที่เคยเป็นผู้นำจิตวิญญาณตามชุมชนต่างๆ จึงถูกมองว่าเป็นหอกข้างแคร่ วิธีการกำจัดเสี้ยนหนามเหล่านี้ ที่ดีที่สุดก็คือ การยัดข้อหาให้นักเวทมนต์กลายเป็นพวกนอกรีต นอกศาสนา และเป็นสาวกของซาตาน เพื่อที่จะได้มีความชอบธรรมในการสั่งกำจัดทิ้งเสีย ด้วยการอ้างว่า คริสตจักรได้รับหน้าที่สำคัญในการต่อสู้กับเหล่าปีศาจ และกองทัพลับของเหล่าแม่มดที่เป็นสาวกของซาตาน จนนำมาสู่เหตุการณ์นองเลือดผู้บริสุทธิ์อย่างยาวนานกว่า 300 ปี
หลายคนถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด เพียงเพราะเก็บแมวจรจัดมาเลี้ยง โดยหวังว่าพวกมันจะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว แต่นักล่าแม่มดกลับไม่คิดเช่นนั้น พวกเขามองว่าสัตว์เหล่านั้นเป็นสาวกของซาตาน ที่ถูกมอบหน้าที่มาเป็นผู้ช่วย ที่ปรึกษาของแม่มด และเป็นผู้รับส่งสารจากซาตาน
เพื่อหลีกเลี่ยงจากการถูกกำจัดทิ้งราวกับขยะชิ้นหนึ่ง นักเวทมนต์หลายคนได้ผันตัวเองกลายเป็นนักบวชในศาสนาคริสต์ พร้อมกับใช้พลังเวทมนต์เป็นสื่อกลางในการติดต่อสื่อสารระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ส่วนนักเวทมนต์ที่เหลือได้หันหน้าเข้าสู่เส้นทางของเวทมนต์ดำ และแสร้งทำเป็นว่ามีอำนาจสั่งการเหล่าปีศาจให้อยู่ในอำนาจได้ เพื่อเป็นการสร้างอำนาจ และเกียรติยศให้กับตนเอง ในขณะเดียวกันคริสตจักรก็ได้จัดตั้งหน่วยไล่ล่า รวมไปถึงศาลพิจารณาคดีลงทัณฑ์แม่มดขึ้นมาอย่างเป็นทางการ จนทำให้เกิดยุคแห่งการล่าแม่มดที่เต็มไปด้วยการจำกุม คุมขัง ทรมาน เนรเทศ และประหารทิ้งอย่างเหี้ยมโหดโหดเกินบรรยาย
ถึงแม้เหล่าพ่อมด แม่มด จะถูกปราบปรามอย่างหนักจากทางคริสตจักร การศึกษาด้านไสยศาสตร์ เวทมนตร์ต่างๆ ก็ยังสามารถฟื้นตัวกลับมาได้ในช่วง ค.ศ. 15-17 ถึงแม้การศึกษาเหล่านี้ หได้เริ่มถูกระงับไป ในยุคแห่งความเฟื่องฟูของวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 17 อย่างไรก็ตาม ในศตวรรษที่ 18 ได้มีการพยายามฟื้นฟูไสยเวทย์กลับมาอีกครั้ง โดยเฉพาะในช่วงท้ายของศตวรรษที่ 19 โดยนาซีเยอรมัน ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง จนทำให้เกิดปรากฏการณ์ความสนใจในเวทมนตร์คาถาของคนทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างมาก จนกระทั่งศตวรรษที่ 20 ได้มีการพัฒนาศาสตร์เวทมนตร์ที่ชื่อว่า “Thelema” ขึ้นมา โดยมีระบบการฝึกฝนอบรมทั้งทางด้าน “ร่างกาย” และ “จิตวิญญาณ”
เวทมนต์หรือคาถาของแม่มด มักจะถูกบันทึกเอาไว้ในหนังสือ โดยใช้ภาษาลาตินยุคกลาง หรือเยอรมันเก่า ส่วนเนื้อหาภายในมักเป็นสูตร และส่วนประกอบในการประกอบพิธีกรรม แต่มักที่จะเป็นการจดบันทึกที่คลุมเครือ ไม่มีการบอกวิธีการที่ชัดเจน ถ้าหากแม่มดคนใดต้องการที่จะเรียนรู้จากหนังสือเหล่านั้น ก็ต้องทำการทดลอง ลองผิด ลองถูกด้วยตัวเองเท่านั้น แต่การเรียนรู้เวทย์มนต์โดยส่วนใหญ่ มักเป็นการถ่ายทอดความรู้แบบปากเปล่า โดยเริ่มเรียนได้ตั้งแต่วัยสาวเป็นต้นไป ตามศาสตร์ของแม่มดขาว และแม่มดดำ ที่แตกต่างกันออกไป ดังต่อไปนี้
เวทมนต์ของแม่มดขาว
เวทมนตร์ขาว มีหลักการเรียนรู้แบบ “เส้นทางด้านขวา” เน้นไปที่การยกระดับจิตวิญญาณ การปฎิบัติที่เข้มงวด ที่มีข้อกำหนดทางศีลธรรม และเคารพบูชาเทพเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ รวมไปถึงธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ ในลักษณะที่เหมือนกับศาสนาแขนงหนึ่ง
โดยส่วนใหญ่การเรียนรู้เวทมนต์ของแม่มดขาวนั้น มักเกิดขึ้นจากการเรียนรู้ด้วยตัวเอง จากความใกล้ชิดกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พลังธรรมชาติ การเรียนรู้จากคัมภีร์โบราณทางศาสนา หรือเกิดขึ้นจากการถ่ายทอดวิชาความรู้จากแม่มดขาวที่เป็นอาจารย์ มีแม่มดขาวจำนวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่ยอมเปิดรับลูกศิษย์เพื่อถ่ายทอดวิชาให้
แม่มดขาวใช้พลังที่ได้รับมาเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก เช่น ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บคนป่วย หรือคาถาที่ช่วยป้องกันความอาฆาตพยาบาทจากสิ่งลึกลับ เป็นต้น แม่มดขาวจะไม่มีการบีบบังคับวิญญาณของคนตายให้ไปทำสิ่งที่ชั่วช้า หรือใช้พลังที่เหนือธรรมชาติในการทำร้ายผู้คน ถ้าหากจำเป็นที่จะต้องใช้พลังเหนือธรรมชาติ ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นเพราะต้องเผชิญหน้ากับมนตราที่ชั่วร้ายของแม่มดดำ
เวทมนตร์ของแม่มดขาว มักเกี่ยวข้องกับธรรมชาติ โดยการหยิบยืมพลังอำนาจของพระเจ้า และเทพธิดามาใช้ ความแข็งแกร่งและการฝึกฝนเวทมนตร์ของแม่มดขาวจะขึ้นอยู่กับดวงจันทร์ ยิ่งพระจันทร์เต็มดวงสีสันสดใส และมีสีเข้มแม่มดขาวจะมีอำนาจมากที่สุด ในการร่ายเวทมนตร์เชิงบวกเพื่อช่วยขจัดปัดเป่าพลังงานเชิงลบให้หายไป เช่น ความเจ็บป่วย ขับไล่แมลงร้ายที่ทำลายพืชผลทางการเกษตร เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับไร่นา คาถาป้องกันภัยอันตราย เป็นต้น ส่วนประกอบสำคัญในการร่ายคาถาของแม่มดขาว คือ สมุนไพรต่างๆที่มีคุณสมบัติพิเศษในเชิงบวก โดยเฉพาะ “ใบกระวาน” (Bay Leaf) ที่มีพลังเชิงบวกบรรจุอยู่เป็นจำนวนมาก
เวทมนต์ของแม่มดดำ
เวทมนตร์ดำ มักมีความเกี่ยวข้องกับซาตาน อย่างลึกซึ้ง หลักการปฎิบัติจึงมักเป็น “เส้นทางด้านซ้าย” เป็นความเชื่อที่คาดหวังความก้าวหน้า และแสวงหาความสำเร็จของเป้าหมายส่วนตัวโดยไม่เลือกวิธีการ จึงไม่น่าแปลกใจนักที่แม่มดดำสามารถทำร้ายคนอื่นๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายความยิ่งใหญ่ของตัวเองได้โดยไม่เลือกวิธีการ
แม่มดดำมีลักษณะการเรียนรู้เวทมนต์คาถาที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับแม่มดขาว เนื่องจากแม่มดดำส่วนใหญ่ยินดีที่อ้าแขนรับลูกศิษย์จำนวนมากๆ เนื่องจากการเพิ่มปริมาณสาวกผู้นับถือซาตาน เพราะมันเป็นหนึ่งในภารกิจที่สำคัญของแม่มดดำ บรรดาลูกศิษย์ของแม่มดดำเหล่านี้ เมื่อยินดีพร้อมใจตบเท้าเข้ารีตปีศาจ ก็จะได้รับสิ่งตอบแทนในทันที คือ รูปร่าง หน้าตา ที่มีเสน่ห์ต่อเพศตรงกันข้าม และอายุที่ยืนยาวมากขึ้น แม่มดดำบางคนมีอายุที่ยืนยาวนานหลายร้อยปีเลยทีเดียว แต่ความสวยงามของรูปร่างหน้าตาจะคงอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น หลังจากนั้นไม่นานจะเปลี่ยนกลายเป็นความน่าเกลียดน่าสะพรึงกลัว นอกจากนี้ข้อแลกเปลี่ยนที่ต้องเสียไปเพื่อให้ได้รูปร่างหน้าตาที่งดงามคือ สูญสิ้นความสามารถในการมีบุตรสืบสกุล ในสมัยนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มากทีเดียว นอกจากนี้ เมื่อเสียชีวิตไปแล้ว วิญญาณจะไม่มีทางได้พบกับความสงบสุข เนื่องจากซาตานจะมารับวิญญาณของแม่มดดำเหล่านั้นไป ในบางครั้งซาตานอาจส่งดวงวิญญาณเหล่านั้นให้กลับมาเกิดใหม่ในร่างของคางคก งูพิษ ไส้เดือน เพื่อคอยทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของแม่มดคนอื่นๆต่อไปอีกนั่นเอง
แม่มดดำจะเริ่มต้นจากการเรียนรู้เวทมนต์จากการ ทำเสน่ห์ ร่ายคำสาปให้พืชเหี่ยวเฉา และการมองเห็นอนาคต เมื่อผ่านขั้นพื้นฐานเหล่านี้ แม่มดฝึกหัด ก็จะเริ่มเข้าสู่ขั้นลอยตัวในอากาศ การเหาะเหินโดยไม่ต้องใช้ไม้กวาด การแปลงร่างเป็นสัตว์ประเภทต่างๆ แม่มดดำยังสามารถเสกให้สัตว์ต่างๆสามารถพูดภาษามนุษย์ได้ และเริ่มต้นฝึกคาถาขั้นสูงเพื่อให้ได้มาซึ่งพลังอำนาจ เมื่อแม่มดทำการฝึกจนสำเร็จวิชาเหล่านั้นจนหมดสิ้นแล้ว ก็หมายความว่าพวกเธอพร้อมที่จะออกไปทำการตั้งสำนักเพื่อรับแม่มดฝึกหัดมาเป็นลูกศิษย์ได้แล้ว
กฏในการใช้เวทมนตร์ของเหล่าแม่มด
โดยพื้นฐาน เวทมนตร์ของเหล่าแม่มดที่มุ่งเน้นไปในการ “จัดการ ควบคุม และครอบครอง” บุคคลอื่นเป็นสิ่งต้องห้าม ด้วยแนวคิด “กฏสามเท่า” ที่ระบุว่า พลังงานที่แม่มดได้สร้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพลังงานเชิงบวก หรือเชิงลบ ในท้ายที่สุดจะถูกส่งกลับมายังบุคคลที่สร้างขึ้นเป็นจำนวนสามเท่า กฏที่มีความเสี่ยงดังกล่าว เป็นบทลงโทษ หรือรางวัลให้กับผู้ที่ประกอบพิธีกรรม อีกทั้งยังเป็นความลับสำคัญ ที่ช่วยทำให้แม่มดได้มาซึ่งพลังอำนาจอีกด้วย
การประกอบพิธีกรรมของแม่มด
โดยทั่วไปแล้ว แม่มด มักนิยมประกอบพิธีกรรมเพียงลำพัง ด้วยการนั่งอยู่ภายในวงกลมเวทมนตร์ แล้วทำการตั้งจิตภาวนาถึง “ผู้พิทักษ์” แห่งธาตุทั้ง 4 และทิศทั้ง 4 อันได้แก่ อากาศ ในทิศตะวันตก ไฟ ในทิศใต้ น้ำ ในทิศตะวันออก และโลก ในทิศเหนือ ที่ทุกสิ่งล้วนมีความเกี่ยวข้องระหว่างกัน นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงคุณลักษณะต่างๆของมนุษย์อันเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างที่ห้า ที่เรียกว่า “วิญญาณ” หรือ “ธาตุอากาศ” พร้อมกับจุดธูปปักเอาไว้ทั้งห้าจุดของดาวแฉก หรืออาจจะมีวัตถุประกอบพิธีอื่นๆรวมอยู่ด้วย พิธีกรรมของแม่มด มักนำเครื่องมือที่มีมนต์ขลังเข้าร่วมในพิธีกรรม อาทิเช่น ไม้กวาด หม้อต้มน้ำขนาดใหญ่ จอกเครื่องดื่ม กำยาน หนังสือแห่งเงา แทนบูชา กริชสองคม เทียน คริสทัล สัญลักษณ์ดาวห้าแฉก และน้ำมัน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม แม่มดในแต่ละกลุ่มมักมีประเพณีที่ไม่เหมือนกัน บ้างอาจจะมีกำหนดวันที่เฉพาะเจาะจงในการทำพิธี การอาบน้ำชำระร่างกายก่อนเข้าสู่วงกลม การสวมเสื้อคลุมที่ปกปิดตัวตนทั้งหมด หรือการเปลือยกายจนหมด เป็นต้น เพื่อเพิ่มความขลังให้กับพิธีกรรมมากยิ่งขึ้น
การร่ายเวทมนต์คาถาของเหล่าแม่มด
“Spells” หรือ “คาถา” เป็นพิธีกรรมที่สามารถส่งมอบสิ่งที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อบุคคลอื่น โดยเป็นได้ทั้ง “ประโยชน์” หรือ “อันตราย” ภาพของแม่มดที่บ่นพึมพำในขณะที่กำลังใช้เวทมนตร์อาจเป็นสิ่งที่คุ้นตาของคนส่วนใหญ่จากภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเหล่าแม่มด แต่คาถาที่ดีที่สุด มักจะทำโดยพิธีกรรมที่มีความลึกลับซับซ้อนมากกว่านั้นหลายเท่า
การร่ายคาถาของแม่มด สามารถทำได้ด้วยการใช้เสียงเบาๆ คล้ายกับกำลังพร่ำบ่น อาจจะพูดออกมาเป็นคำ ร้องออกมาเป็นเพลง กล่าวเป็นบทกวี หรือเขียนออกมาเป็นสูตรต่างๆ ที่อาจจะทำโดยแม่มดเพียงคนเดียว หรือแม่มดทั้งกลุ่มที่มีเป้าหมายไปยังเหยื่อคนเดียวกัน โดยคาถาของแม่มดจะมีอยู่ 2 ประเภท คือ
1.คาถาที่ทำตามกันมาจนกระทั่งกลายเป็นประเพณี
แม่มดมีความเชื่อว่าความเปลี่ยนแปลงของจักรวาลจากรุ่นหนึ่ง ไปยังอีกรุ่นหนึ่งนั้นเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นคาถาที่เกิดขึ้น ที่ใช้มาตั้งแต่สมัยโบราณก็ย่อมที่จะสามารถใช้ได้มาจนกระทั่งถึงยุคปัจจุบันเช่นเดียวกัน ถือเป็นแนวคิดในการร่ายคาถาที่ได้รับความนิยมนำมาใช้อย่างแพร่หลายในหมู่บรรดาเหล่าแม่มด
2.คาถาที่เป็นความสามารถส่วนตัว
เป็นเวทมนต์คาถาเฉพาะตัวที่เกิดขึ้นจากการคิดค้นของแม่มดคนนั้น และต้องเป็นแม่มดที่มีความเก่งกาจเฉพาะตัวอย่างมาก เนื่องจากการร่ายเวทมนตร์นั้น ไม่สามารถผิดพลาดได้แม้แต่ตัวอักษรเดียว
แม่มด ต้องพยายามเรียนรู้คาถาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อนำมาใช้ร่วมกับพิธีกรรมของตนเอง ขอบเขตของคาถาและอิทธิฤทธิ์ค่อนข้างกว้างขวาง ครอบคลุมไปตั้งแต่การเสกให้เหยื่อเคราะห์ร้ายมีหูดขึ้นบนตัว เปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ไปจนกระทั่งถึงการเปลี่ยนแปลงราชวงศ์กษัตริย์ได้เลยทีเดียว แต่เนื่องจากคาถาที่มีมากมาย ทำให้แม่มดไม่สามารถจดจำบทร่ายเวทมนต์ทั้งหมดได้ จึงต้องทำการจดเอาไว้เป็นตำราเวทมนตร์ส่วนตัว โดยนิยมเขียนด้วยภาษาเก่าๆ อาทิเช่น สันสกฤต ทิวโทนิค หรือรูน เป็นต้น และมีข้อบังคับว่าจะต้องทำการเขียน หรือคัดลอกด้วยมือของตัวเองเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม คาถา มีมากมายหลายชนิด มีทั้งชนิดที่ต้องการสูตรอย่างเฉพาะเจาะจง หรือต้องใช้วัตถุดิบต่างๆ เพื่อช่วยในการร่ายคาถา เช่น รูปภาพ เส้นผม เศษเสื้อผ้าของเป้าหมาย เป็นต้น ในบางคาถา จำเป็นจะต้องทำการร่ายพร้อมๆกันหลายคน เพื่อเป็นการรวบรวมพลังให้ตรงกับวัตถุประสงค์ที่เจาะจงมากยิ่งขึ้น ความซับซ้อนของการร่ายคาถาเหล่านี้ที่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้หลายครั้งเกิดความล้มเหลวในการประกอบพิธีกรรม
คาถาของแม่มดดำ
ลักษณะของคาถาที่แม่มดดำใช้ มักจะเป็นพลังงานเชิงลบ ที่เรียกกันว่า “การสาปแช่ง” หรือ “ความลุ่มหลง” ด้วยการยืมพลังเหนือธรรมชาติจากแหล่งอำนาจมืดต่างๆ คาถาของแม่มดดำ มักนิยมบริกรรมในช่วงพระจันทร์ข้างแรม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พลังงานเชิงลบ มีพลังอันแก่กล้านั่นเอง
ทุกครั้งที่มีการร่ายเวทมนต์คาถาของแม่มด คำสวดภาวนา หรือที่เรียกกันติดปากว่า “การท่องมนต์ตรา” หากผู้ประกอบพิธีกรรมเป็นแม่มดดำ มีเนื้อหามักเกี่ยวข้องกับ “เฮเคต” เทวีแห่งดวงจันทร์ของชาวกรีกโบราณ ที่0ได้รับการยกย่องว่าเป็น “มารดาของแม่มดพ่อมดในยุคกลาง” ทุกครั้งที่เกิดปัญหาเกี่ยวกับการร่ายเวทมนต์และต้องการความช่วยเหลือ แม่มดก็จะทำการร่ายคาถา เพื่อปลุกเจตภูตของเฮเคต ขึ้นว่าโดยมีใจความดังต่อไปนี้
“ตื่นขึ้นมาอเวจี โลกีย์วิสัย และสวรรค์! เทวีแห่งหนทาง ผู้ส่องแสงสว่าง ผู้สัญจรในยามราตรี มิตรสหายแห่งความมืด ท่านผู้โปรดปรานเสียงโหยหวน ผู้อยู่ท่ามกลางความมืดและสุสาน ท่านผู้ปรารถนาเลือด และความโหดร้ายทุกรูปแบบ โปรดช่วยข้าด้วย!”
นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่าถ้าหากแม่มดดำ ต้องการใช้มนต์ดำกับเหยื่อมักมีวิธีการ รวมไปถึงพิธีกรรมที่แตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับลักษณะของเวทมนต์ดำที่ใช้ อาทิ เช่น
1.ยาพิษ
แม่มดดำ มักปรุงยาพิษ โดยการนำสมุนไพรที่มีฤทธิ์เป็นพิษมาทำการเคี่ยวเพื่อทำยาพิษในการสังหารเหยื่อ นิยมใช้หม้อปรุงยาที่มีขนาดใหญ่มาช่วยในการทำพิธีกรรมดังกล่าว
2.พิธีกรรมฝังรูปฝังรอย
เป็นการสังหารเหยื่อให้ตายอย่างทุกข์ทรมาน โดยการนำเอาขี้ผึ้งมาปั้นให้เป็นรูปของเหยื่อ จากนั้นนำเอาเศษเสื้อผ้าจริงๆของเหยื่อมาตกแต่ง แล้วนำหุ่นขี้ผึ้งไปเผาทิ้งท่ามกลางเปลวไฟ หรือในบางครั้งก็จะใช้เข็มแทงรูปปั้นแทนตัวนั้นไปเรื่อยๆ ผู้ที่ถูกสาปแช่งก็จะเจ็บปวดทรมานเป็นอย่างมาก และเมื่อแม่มดทำการปักเข็มบนหุ่นขี้ผึ้งครบทั้ง 13 เล่ม เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายก็จะสิ้นใจตาย
3.คำสาปแช่ง
เป็นพลังเหนือธรรมชาติ จากการใช้วาจาคาถา สัญลักษณ์ หรือสิ่งของต่างๆ ที่ก่อให้เกิดอันตราย เจ็บป่วย หรือแม้แต่ความตายต่อเป้าหมาย คำสาปแช่งอาจส่งผลในทันที หรือค่อยๆส่งผลอย่างช้าๆ หลายครั้งที่ผลของคำสาปนั้นไม่เพียงแต่ส่งผลร้ายต่อเป้าหมาย แต่ยังส่งผลกระทบรวมไปถึงครอบครัว สัตว์เลี้ยง และพืชผลในการครอบครองของเขาด้วยเช่นกัน
มีการบันทึกการไต่สวนแม่มด ที่ถูกกล่าวหาว่ามีการใช้คำสาปแช่งทำร้ายคนอื่น พ่อมดนาม มาทิอัส เพอเกอร์ (Mathias Perger) ชาวเยอรมัน ใน ค.ศ. 1645 สารภาพว่า ได้ใช้คำสาปเพื่อทำลายไร่น่าใกล้เคียง เป็นคำสาปแช่งที่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยในการประกอบพิธีกรรม แต่ก็ไม่ได้มีการบันทึกเอาไว้ว่าอุปกรณ์เหล่านั้นมีอะไรบ้าง
แม่มดทั่วโลก มักนิยมใช้อุปกรณ์ช่วยเพื่อให้การสาปแช่งมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น ส่วนใหญ่นิยมใช้หุ่นที่ทำจากขี้ผึ้ง ดินเหนียว ผ้า ไม้ บางครั้งมีการทาสี แต่งตัวให้กับตุ๊กตาเหล่านี้ จนแลดูคล้ายกับเหยื่อให้มากที่สุด แม่มดเชื่อว่า ยิ่งหุ่นเหมือนตัวจริงมากเท่าไหร่ โอกาสสำเร็จก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น หลายครั้งอาจมีการนำภาพตัวแทนของเหยื่อมาใช้แทนตุ๊กตา เมื่อวัตถุแทนตัวเหล่านี้ ถูกทำลาย เหยื่อเคราะห์ร้ายก็จะตายตามไปด้วย หนึ่งในคำสาปที่คนส่วนใหญ่ในโลกต่างรู้จักกันดี คือ คำสาป “วูดู” ของแม่มดดำในทวีปแอฟริกา ที่นิยมใช้ตุ๊กตาวูดู เข้ามาช่วยในการสาปแช่งนั่นเอง
นอกจากนี้ ยังมีวิธีการสาปแช่งอื่นๆที่น่าสนใจ อาทิเช่น การสาปแช่งเหยื่อ ด้วยการฝั่งอินทรียวัตถุที่สามารถย่อยสลายได้อย่างรวดเร็ว เมื่อพวกมันเริ่มย่อยสลายๆ เป้าหมายก็จะค่อยๆล้มป่วยตายไปด้วย หรือการใช้เชือกที่บริกรรมเวทมนต์ลงไปในขณะที่การผูกปมเพื่อให้ผู้ที่ตกเป็นเป้าหมายหลงเสน่ห์ เป็นต้น
4.ชุบชีวิตซากศพ
เชื่อกันว่าแม่มดใช้เวทมนตร์ฆ่า แล้วกินหัวใจของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายจนหมด มักนำฟางมายัดเข้าไปภายในหน้าอกแทนหัวใจ แล้วปลุกชีวิตขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ถ้าหากมองจากเพียงภายนอกแล้ว ศพเหล่านี้ก็จะดูเหมือนกับคนทั่วๆไป แต่จะปราศจากรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความรัก และความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ตลอดกาล
5.พิธีกรรมฝังฟางข้าว
แม่มดที่ทำพิธีกรรมนี้จะเดินทางไปยังโบสถ์ ด้วยการเดินถอยหลัง พอถึงจุดหมายก็จะทำการร่ายคาถา จากนั้นก็จะนำฟางข้าวมัดเข้ากับหุ่นปั้นแทนตัวของเหยื่อแล้วฝังในพื้นดิน ถ้าหากเคราะห์ดี ดินที่ฝังเอาไว้ชื้น ฟางข้าวและหุ่นก็เปื่อยสลายไปอย่างรวดเร็ว คนที่ถูกสาปแช่งก็จะตายอย่างรวดเร็วตามไปด้วย แต่ถ้าหากโชคร้ายดินในบริเวณที่ฝังหุ่นนั้นแห้งแล้ง ยิ่งการย่อยสลายของหุ่นปั้นและฟางข้าวช้ามากเพียงใด คนที่ถูกสาปแช่งก็จะยิ่งตายอย่างช้าๆ ด้วยความทรมานมากขึ้นเท่านั้น
6.เหาะเหินเดินอากาศ
จากคำสารภาพของเหล่าแม่มด ที่ได้รับการบันทึกเอาไว้หลังถูกสอบสวน พบว่าเวทมนตร์ และของวิเศษที่ช่วยทำให้บินขึ้นไปบนท้องฟ้า ไม่ได้อยู่ที่พาหนะอย่าง “ไม้กวาด” อย่างที่มักเข้าใจกัน แต่ความลับกลับเป็นน้ำมันที่ใช้ทาตัวก่อนบินต่างหาก สูตรของน้ำมันนี้ ได้มาจากซาตาน ที่มีจุดประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกให้เหล่าแม่มด ได้บินมาร่วมชุมนุมกันในวันซับบาธ
7.การแปลงกาย
เชื่อกันว่าแม่มดสามารถแปลงกายได้มากมายหลายอย่าง เช่น สุนัข คางคก งูพิษ หมาป่ากินคน กวาง แมลง และสัตว์ร้ายอีกมากมายหลายชนิด แต่มักเป็นสัตว์ที่มีความปราดเปรียวว่องไว แม่มดในยุโรปยุคกลางส่วนใหญ่จะนิยมแปลงเป็นกระต่าย เพื่อใช้ในการแอบสืบความเคลื่อนไหวของเหยื่อเคราะห์ร้ายมาประกอบพิธีกรรมคุณไสยอย่างไม่ผิดสังเกต ส่วนโอกาสสำเร็จในการแปลงกาย ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ของแม่มดแต่ละคน
มีเรื่องเล่าถึงการแปลงกายของแม่มดว่า แม่มดชราคนหนึ่งถูกผู้ปกครองตำบลสงสัยว่าเป็นแม่มด ทุกครั้งที่เกือบจับตัวหญิงชราได้อย่างคาหนังคาเขา ก็มักจะเห็นกระต่ายวิ่งหนีไปอีกทางหนึ่งเสมอ แม่มดรายนี้ไปจนมุมด้วยหลักฐาน เมื่อผู้ปกครองตำบลสังเกตว่าต้นโอ๊คของเขาถูกใครบางคนเขย่ากิ่งของมันเพื่อเก็บลูกโอ๊คในตอนกลางคืน เมื่อมองขึ้นไปก็พบกระต่ายตัวหนึ่งกระโดดไปมาอยู่บนกิ่งต้นโอ๊ค เขาจึงรีบตรงไปที่บ้านของหญิงชราทันทีพร้อมกับเคาะเรียกอยู่นานมาก กว่าที่เจ้าของบ้านจะออกมาเปิดประตูให้ด้วยสภาพเหงื่อโทรม และร่างกายเต็มไปด้วยฝุ่นดิน เมื่อมีหลักฐานมัดตัว แม่มดชราจึงถูกจับตัวไปเผาทั้งเป็น
8.เสกคาถาบันดาลให้ผู้ว่าจ้างสัมฤทธิ์ผลตามต้องการ
เช่น รับจ้างเสกคาถาให้พืชผลเจริญงอกงาม ทำให้วัวมีนมมากขึ้น แม่ไก่สามารถออกไข่ได้เป็นจำนวนมากๆ เป็นต้น แต่ราคาว่าจ้างเพื่อให้ความต้องการของตัวเองสัมฤทธิ์ผล ต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยวิญญาณส่วนหนึ่งของผู้ว่าจ้างมาทำการแลกเปลี่ยน ยิ่งคนๆนั้นมีความโลภ และใช้บริการแม่มดมากเท่าไหร่ กว่าจะรู้ตัว วิญญาณแทบทั้งหมดของตัวเองก็อยู่ในการครอบครองของแม่มด และถูกส่งต่อให้ซาตานครอบครองในที่สุด
10.สาปแช่งโดยใช้อักษรรูน
อักษรรูน เป็นอักษรโบราณรุ่นแรกของโลก ที่ชาวสแกนดิเนเวียและเยอรมันนำมาใช้ เชื่อกันว่าอักษรูนมีพลังอำนาจในตัว เนื่องจากจอมเทพโอดินแห่งสแกนดิเนเวียเป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้น แม่มดมักใช้อักษรรูน เขียนเป็นคำสาปลงในเศษกระดาษแล้วส่งให้ถึงมือเหยื่อ เศษกระดาษชิ้นนี้ จะไม่มีทางสามารถถูกทำลายได้ด้วยวิธีใดๆก็ตาม มีทางเดียวที่จะรอดพ้นได้คือ จะต้องสืบหาให้ได้ว่าใครเป็นผู้ว่าจ้างแม่มดให้ทำขึ้น แล้วแอบสอดกระดาษกลับคืนไปในเสื้อผ้าของคนผู้นั้น เพียงเท่านี้คำสาปร้ายก็จะย้อนกลับคืนไปส่งผลยังตัวเจ้าของแทน
11.เพิ่มจำนวนเงิน
แม่มดดำ มักนำเศษธนบัตรจำนวน 12 ชิ้น ใส่ลงไปในกล่อง พร้อมกับโรยใบโหระพาลงไประหว่างเศษธนบัตรเหล่านั้น จากนั้นจะนำเชือกสีเขียวมาผูกกล่องเป็นจำนวนทั้งสิ้น 31 ครั้ง ก่อนนำไปฝังในดินลึกเจ็ดนิ้ว เชื่อกันว่าเมื่อขุดกล่องใบขึ้นมาในอีก 1 ปี ให้หลัง ธนบัตรภายในกล่องจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ
12.การพยากรณ์
แม่มดดำมักทำการพยากรณ์เรื่องราวในอนาคต ด้วยการใช้เครื่องในของสัตว์ โดยเฉพาะตับ ลำไส้ ปอด และอวัยวะสำคัญอื่นๆ โดยเลือกสัตว์ที่มีความบริสุทธิ์ พร้อมกับใช้การฆ่าด้วยพิธีกรรมที่มีความพิเศษ
คาถาของแม่มดขาว
คาถาที่แม่มดขาวนำมาใช้ มักเป็นคาถาเชิงบวก เป็นพลังงานแสงสว่าง ในลักษณะของการให้ “พร” ที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ พิธีกรรมส่วนใหญ่จึงมีความเรียบง่าย ใช้เพียงเทียนหนึ่งเล่มเป็นส่วนประกอบภายในวงกลมพิธีกรรมเท่านั้น ส่วนการบริกรรมคาถาของแม่มดขาว อาศัยการเกื้อหนุนของธรรมชาติ มักจะนิยมทำในช่วงพระจันทร์ข้างขึ้น ที่พระจันทร์สดใสเต็มดวง เต็มเปี่ยมด้วยอารมณ์ที่เป็นบวก ที่ช่วยทำให้แม่มดขาวบรรลุเป้าหมายของพิธีกรรมได้เป็นอย่างดีที่สุด สำหรับเวทมนตร์ที่สามารถพบได้บ่อยๆ ของแม่มดขาว มีดังต่อไปนี้
1.การพยากรณ์
การพยากรณ์ของแม่มดขาว เป็นการสืบหาข้อมูลเชิงตีความจากลางบอกเหตุต่างๆ ไม่ว่าทั้งจากธรรมชาติ หรือสิ่งอื่นๆ โดยส่วนใหญ่แล้วการพยากรณ์มักจะเกิดขึ้นในรูปแบบของพิธีกรรมเป็นหลัก วิธีการพยากรณ์ของแม่มดขาว มีอยู่หลายรูปแบบ ที่ได้รับความนิยมที่สุด ได้แก่
ลูกแก้วพยากรณ์ :
แม่มดขาวนิยมใช้ลูกแก้วคริสทัลใสขนาดใหญ่ จากครรภ์มารดาของโลก และต้องเป็นคริสทัลที่เกิดขึ้นมาพร้อมๆกับโลก จึงจะสามารถซึมซับทุกสรรพสิ่งไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เอาไว้ในตัวเอง เมื่อทำการเพ่งจิตเข้าไป ภายในคริสทัลจะเกิดรูปเงาขึ้น เพื่อช่วยในการทำนายอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น เชื่อกันว่าคริสทัลชิ้นแรกของโลกที่ถูกแม่มดนำมาใช้ในการพยากรณ์อนาคตนั้น เป็นหินคริสทัลทรงกลมใส ที่มาจากภูเขาแอลป์ คริสทัลดังกล่าว ปราศจากรอยเมฆหมอกและเส้นใยรอยแตกแยกของหิน รอยตำหนิของคริสทัลเหล่านี้เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้คำพยากรณ์คลาดเคลื่อน ไม่ชัดเจน คริสทัลที่ดีที่สุดคือ คริสทัลที่ผ่านฝีมือการขัดแต่งของพวกโนมในแถบอัลไพน์
แม่มดที่ต้องการทำการพยากรณ์ด้วยคริสทัล ต้องฝึกฝนลดกิเลสตัณหาความริษยา ความโลภ ของตัวเอง เพราะสิ่งเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ต้องห้าม หากสามารถทำได้สำเร็จ แม่มดจะสามารถมองเห็นอนาคตของผู้รับคำทำนายได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยภาพคำทำนายที่เห็นในคริสทัลมักจะมาในรูปแบบของสีต่างๆ เช่น สีแดง สีส้ม หมายถึงความทุกข์ ความพินาศ สีน้ำเงิน สีเขียว หมายถึงการต่อสู้ช่วงชิง เป็นต้น นอกจากนี้เงาที่เคลื่อนไหวไปมาภายในคริสทัล ก็ยังเป็นองค์ประกอบสำคัญที่นำมาใช้ในการทำนายอนาคตอีกด้วย
ไก่พยากรณ์ :
เป็นวิธีการทำนาย โดยการนำเอาเชือกมาผูกคอไก่ขาว ผ่อนปลายให้ยาวพอประมาณ แล้วนำไปผูกกับหลัก แล้วนำไม้ไปขีดบนพื้นให้เป็นวงกลม โดยเขียนตัวอักษรกำกับรอบวง จากนั้นนำเอาเม็ดข้าวสาลีหนึ่งเม็ดไปวางเอาไว้บนตัวอักษรเหล่านั้น พร้อมกับร่ายคาถากำกับ เมื่อแม่มดถามในสิ่งที่อยากรู้ ไก่ก็จะเดินไปจิกเม็ดข้าวบนตัวอักษร เป็นการบอกใบ้ในสิ่งที่แม่มดต้องการคำตอบนั่นเอง
วิญญาณพยากรณ์ :
เป็นการปลุกผู้วายชนม์ หรืออาจจะใช้การเข้าทรงเพื่อถามสิ่งที่ต้องการกับวิญญาณแทน แม่มดที่ต้องการใช้เวทมนต์นี้ จะต้องทำการฝึกขับไล่อารมณ์หยาบให้หมดไป เพื่อให้วิญญาณที่ต้องการสามารถผ่านเข้ามาในร่างได้ พิธีกรรมนี้ต้องทำในสถานที่อันเงียบสงัด โดยการพร่ำเรียกชื่อของวิญญาณที่ต้องการไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมีการตอบรับ ไม่ว่าจะมาในรูปแบบของนิมิต เสียงแทรกเข้ามาในจิต ควัน หรือการสื่อสารอื่นๆไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ที่พลิ้วไหวทั้งๆที่ไม่มีลม หรือปรากฏกายในรูปแบบของสัตว์ต่างๆ เป็นต้น ความแม่นยำของการทำนายก็จะขึ้นอยู่กับระดับการติดต่อสื่อสารระหว่างแม่มด กับวิญญาณพยากรณ์ว่ารู้เรื่องที่ต้องการถามมากน้อยเพียงใด
กระดูก และก้อนกรวดพยากรณ์ :
แม่มด หยิบก้อนกรวด หรือกระดูกชิ้นเล็กๆ ขึ้นมาหนึ่งกำมือ แล้วโยนลงไปในวงกลม จำนวน และลักษณะการวางตัวของวัตถุที่ใช้ในการพยากรณ์เหล่านี้ ช่วยให้แม่มดสามารถตีความหมายของคำพยากรณ์เกี่ยวกับอนาคตได้เป็นอย่างดี
Geomancy:
เป็นวิธีการทำนาย ด้วยการกำเอาดิน ทราย หรือโคลน โยนลงบนพื้น จากนั้น แม่มด จะทำนายพยากรณ์สิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นจากสิ่งที่ปรากฏบนพื้นดิน
Numerology:
เป็นความเชื่อในเรื่องของความสัมพันธ์ของตัวเลย วัตถุทางกายภาพ และสิ่งมีชีวิต ที่อาจจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละวัฒนธรรม การพยากรณ์นั้นจะใช้การสรุปตีความจากตัวเลข หรือตัวอักษร เป็นหลัก
Rhabdomancy:
เป็นการทำนายทิศทาง โดยใช้ไม้กายสิทธิ์ ชี้นำให้เดินทางไปในทิศทางที่ถูกต้อง และยังสามารถใช้ในการค้นหาแร่ใต้ดิน แร่โลหะ หรือแหล่งน้ำ ได้อีกด้วย
Runecasting:
เป็นการทำนายดวงชะตา โดยใช้ตัวอักษรรูนแบบดั้งเดิม
Taromancy:
การทำนายอนาคต หรือสถานการณ์ปัจจุบันด้วยไพ่ทาโร่ต์ ที่ประกอบด้วยไพ่จำนวน 21 ใบ รวมถึงไพ่ “คนโง่” (The Fool) ผ่านการแนะนำของจิตวิญญาณ และจิตใต้สำนึก ไพ่แต่ละใบจะมีความหมายที่หลากหลายเชิงสัญลักษณ์ ส่วนแม่มด จะเป็นผู้ตีความหมายออกมาอย่างเป็นรูปธรรม
การพยากรณ์ความฝัน :
เป็นการตีความหมายของความฝัน เพื่อทำนายอนาคต เป็นวิธีได้รับความนิยมอย่างมากในกรีก และโรมัน
การพยากรณ์จากชื่อ :
เป็นการทำนายจากชื่อของบุคคล ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงปลายของยุคกลาง โดยใช้หลักปฎิบัติในการทำนายตามการกำหนดค่าตัวเลข และตัวอักษร
ร่างทรง :
เป็นพิธีกรรมการตอบคำถาม ด้วยการใช้บอร์ดไม้ที่มีการแกะสลักตัวอักษร และสัญลักษณ์อื่นๆ พร้อมกับเครื่องมือชี้ข้อความที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ คล้ายกับการเล่นผีถ้วยแก้วของประเทศไทย
การทำนายจากเปลวไฟ :
เป็นหนึ่งในศิลปะการทำนายของเหล่าแม่มด ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน แม่มดจะทำการเผาวัตถุต่างๆ อาทิเช่น พืช ฟาง เกลือ กระดูก หรือเปลือกเต่า เป็นต้น จากนั้นจะทำการตีความหมายจากควัน เปลวไฟ หรือรอยแตกที่เกิดขึ้นกับกระดูก เปลือกเต่า
นอกจากการพยากรณ์เหล่านี้แล้ว ยังมีการทำนายในรูปแบบอื่นๆที่น่าสนใจ อาทิเช่น การหยิบของแบบสุ่ม ทำนายข้อความจากหนังสือศักดิ์สิทธิ์ การดูลายมือ เป็นต้น โดยเชื่อว่า สิ่งที่ปรากฏขึ้นเหล่านี้ เป็นการเปิดเผยอนาคตด้วยฝีมือของพระเจ้า หรือพลังอำนาจบางอย่างที่ยิ่งใหญ่เหนือมนุษย์
2.คาถาสะกดผูกมัด
แม่มดขาวนำคาถานี้มาใช้ เพื่อป้องกัน หลีกเลี่ยงอันตราย หรือทำให้คนที่มีจิตมุ่งร้ายเกิดความลังเล เข่น ฆาตกรที่กำลังจะก่อคดี ผู้ร้ายข่มขืนเกิดเปลี่ยนใจ ก่อนลงมือทำ เป็นต้น อีกทั้งยังช่วยหยุดการแพร่กระจายของการนินทาระหว่างกันในสังคมให้ลดน้อยลง
3.คาถาโชคอุดมสมบูรณ์
คาถานี้ เป็นการขอพรจากอำนาจเหนือธรรมชาติ ให้ผู้รับประสบโชคดี เดินทางปลอดภัย และห่างไกลจากโชคร้าย
4.คาถาสะกดแอปเปิล
เป็นคาถาที่ช่วยในการขจัดปัญหา หรือนิสัยที่ไม่ดี แม่มดขาวจะทำการบริกรรมคาถาใส่ผลแอปเปิล แล้วทำการผ่าแอปเปิลออกเป็นสองเสี่ยง ครึ่งหนึ่งจะถูกแทนด้วยนิสัยที่ไม่ดี หรือปัญหาต่างๆ จากนั้นแม่มดขาวจะกล่าวเนรเทศพวกมันออกมาดังๆ แล้วนำอีกครึ่งมาประกบกัน พันรอบด้วยริบบิ้นแล้วทำไปฝังดิน เมื่อแอปเปิลทั้งผลเสื่อมสลายไปตามวันเวลาที่ผ่านไป ปัญหาเหล่านั้นก็จะหายไปด้วย
5.คาถามิตรภาพสัมพันธ์
เป็นคาถาที่ช่วยทำให้มั่นใจว่า มิตรภาพระหว่างเพื่อนสองคนจะยั่งยืนยาวนาน แม่มดขาวจะทำการเย็บถุงใบเล็กๆขึ้นมา และให้เพื่อนทั้งสองมอบให้แก่กัน เพื่อช่วยในการรักษามิตรภาพของพวกเขาเอาไว้
6.มหาเสน่ห์
แม่มดขาวจะมอบถุงใบเล็กๆ ที่ใส่สะระแหน่ โรสแมรี่ และโหระพา ให้ผู้ที่ต้องการไปเก็บเอาไว้ในลิ้นชัก ใต้หมอน หรือพกติดตัว และจะต้องทำการพรมถุงด้วยน้ำมันมะกรูดเจ็ดหยด เป็นประจำทุกเจ็ดวัน เพื่อจะช่วยดึงดูดความรัก และเติมเต็มความปรารถนา
7.ฝันหวาน
ด้วยอุปกรณ์ที่ถูกเรียกว่า “หมอนวิเศษ” ที่มีส่วนประกอบของดอกกุหลาบสีแดง กลีบดอกสายน้ำผึ้ง รากโอริส ผงออลสไปซี่ และปอยผมของตัวเจ้าตัว ใส่รวมกันเอาไว้ในกระเป๋าใบเล็กที่ชุบด้วยน้ำมันต้นสน เมื่อนำไปวางเอาไว้ใต้หมอน ก็จะช่วยให้คนนั้นหลับฝันหวานตามชื่อของคาถาได้สมใจ
8.ขับไล่พลังงานเชิงลบ
แม่มดขาว สามารถใช้เวทมนตร์เพื่อช่วยขับไล่พลังงานเชิงลบ ที่เป็นอันตรายต่อผู้คนได้ ด้วยการทำความสะอาดร่างกาย และล้างจิตใจ ผ่านแสงเทียนสีขาวที่เป็นตัวแทนของพลังงานเชิงบวก พร้อมกับกล่าวคาถา ดังต่อไปนี้
“แม่ธรณี ไฟ ลม น้ำ และจิตวิญญาณ ฉันขอให้ช่วยรักษา และปลดปล่อยร่างกายให้พ้นจากพลังเชิงลบทั้งหมด” หลังจากนั้น แม่มดจะทำการนั่งรักษาจิตใจเป็นเวลา 15 นาที
9.สะกดฝันร้าย
เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดฝันร้าย ความคิดเชิงลบ และการรุกรานของความชั่วร้าย แม่มดขาวจะทำการรวบรวมใบไม้สีแดง สามใบ จากต้นไม้ พืช หรือพุ่มไม้ จากนั้นนำพวกมันมาวางรวมกันเป็นรูปสามเหลี่ยมบนพื้นที่เรียบ ตรงกลางของสามเหลี่ยมใบไม้ ตั้งแท่งเทียนที่ถูกจุดให้สว่างไสว แล้วทำการพรมน้ำมันดอกเบญจมาศลงบนใบไม้แต่ละใบ 2-3 หยด พร้อมกับกล่าวคำบริกรรมคาถาว่า
“ใบไม้สีแดง ของขวัญจากแผ่นดิน ก่อกำเนิดจนตาย และความตายที่กำลังจะเกิด ขอให้ความชั่วร้ายทั้งหมดจงไกลออกไป จากกลางวันสู่กลางคืน และจากกลางคืน สู่กลางวัน..”
จากนั้นแม่มดขาวจะดับเทียน ห่อใบไม้ด้วยผ้าสีขาว หรือใส่เอาไว้ภายในกระเป๋า แล้วนำไปวางเอาไว้ใกล้เตียงบริเวณศีรษะ ภายในระยะสามฟุต เชื่อว่าจะช่วยหยุดฝันร้าย และความคิดเชิงลบต่างๆ
10.โหราศาสตร์
หลักการพยากรณ์ ด้วยการมองหาความสัมพันธ์ของดวงดาวที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แล้วนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ในความตีความบุคลิกภาพ กิจกรรมต่างๆ หรือเรื่องอื่นๆของมนุษย์
12.สมุนไพรทางการแพทย์
แม่มดขาวจะได้รับการถ่ายทอดสูตรยาสมุนไพร ที่ช่วยในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บของมนุษย์ อาจกล่าวได้ว่าความรู้เหล่านี้ เป็นพื้นฐานทางการแพทย์พื้นบ้าน ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานย้อนกลับไปได้จนกระทั่งถึงจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ขอลมนุษย์เลยทีเดียว การใช้สารสกัดจากพืช รวมไปถึงวัตถุดิบต่างๆ เช่น ขี้ผึ้ง เชื้อรา เกลือแร่ เปลือกหอย และชิ้นส่วนของสัตว์บางชนิด เป็นสิ่งที่ได้รับการพิสูจน์ ยอมรับจากวงการแพทย์สมัยใหม่ว่า พืชหลายชนิด สามารถทำการสังเคราะห์สารต่างๆ อาทิเช่น ฟีนอล และแทนนิน ที่มีประโยชน์อย่างมากในการบำรุงสุขภาพ ป้องกันโรคภัย รวมไปถึงการล้างพิษ กำจัดของเสีย กระตุ้นให้ร่างกายเกิดการฟื้นฟูตัวเอง และต่อต้านจุลินทรีย์ต่างๆ ที่เป็นอันตราย แม่มดมักนำสมุนไพรมาใช้ในลักษณะการทา รับประทาน และสูดดม
13.ตาทิพย์
ความสามารถในการมองเห็น หรือได้รับข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุ สถานที่ เหตุการณ์ ด้วยวิธีต่างๆ ที่นอกเหนือไปจากวิธีการปกติของมนุษย์ แม่มดนิยมจะใช้ “ตาที่สาม” หรือ “การมองระยะไกล” เป็นรูปแบบหนึ่งของการรับรู้ทางประสาทสัมผัสพิเศษ (ESP) หรือเวทมนตร์ โดยตาทิพย์ สามารถแบ่งออกได้เป็น การรับรู้เรื่องราวในอนาคต การรับรู้เรื่องราวในอดีต และการสื่อสารกับคนตาย