เปิดเบื้องลึก พ่อมดและแม่มด
ต้นกำเนิดของคำว่า พ่อมดและแม่มด”
คำว่า “Witch” หรือ “แม่มด” มีแหล่งกำเนิดที่ไม่แน่ชัดนักแต่เชื่อกันว่า แผลงมาจากคำว่า “Wit” ในภาษาแองโกลแซกซอน ที่มีความหมายว่า “Too Know” หรือ “การหยั่งรู้ – ต้องการรู้” คำว่า แม่มดจึงอาจมีหมายความได้ว่าเป็น “ผู้ที่ต้องการศึกษาหาความรู้” เพียงแต่ความรู้ที่กำลังกล่าวถึงกันอยู่ คือ “ไสยเวทย์” ศาสตร์ลึกลับเหนือธรรมชาติ ดังนั้นแม่มดเองก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่ต่างพยายามทดลองค้นหาความรู้ใหม่ๆ ที่ในบางครั้งความสนใจใคร่รู้เหล่านั้น ก็ได้นำผลดี ผลเสีย มาสู่เพื่อนมนุษย์เช่นกัน
ไสยเวทย์ เป็นองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์หลายแขนง ไม่ว่าจะเป็นเวทมนตร์ วิญญาณ ประสาทสัมผัส การรับรู้ โหราศาสตร์และความเชื่อต่างๆ ข้อเท็จจริงที่ได้รับจากการศึกษาไสยศาสตร์ ไม่ได้ประกอบด้วยการเข้าถึงข้อเท็จจริงทาง “กาย” เหมือนกับศาสตร์อื่นแต่เน้นการฝึกฝน “จิตวิญญาณ” ด้วยการทำสมาธิ หรือพิธีกรรม เพื่อให้เข้าถึงองค์ความรู้ นอกจากนี้ รากศัพท์ของคำว่าแม่มดอาจจะมาจากคำว่า “wicce” ภาษาอังกฤษเก่าแก่ที่มีความหมายว่า “แม่มดหญิง” ได้เช่นกัน
พ่อมด แม่มด เป็นตัวตนเก่าแก่ที่ปรากฏอยู่ในทวีปยุโรปมาช้านานจนคนทั่วไปต่างให้เคยชิน จนเวลาล่วงผ่านมาถึงยุคกลางที่คริสตจักรเรืองอำนาจเพื่อเป็นการประกาศศักดาผู้กุมความเชื่ออันยิ่งใหญ่ คริสตจักรได้ใช้การโฆษณาชวนเชื่อในการไล่ล่า ฆ่า ทำลาย สิ่งที่อยู่นอกเหนือจากคำสอนของตนเองให้หมดสิ้นไปจากทวีปยุโรป บรรดาพ่อมดแม่มดเองก็จัดอยู่ในกลุ่มเป้าหมายด้วยเช่นกัน
นิยามคำว่าแม่มดและพ่อมดของคริสตจักร ณ เวลานั้น เหมารวมไปถึง บรรดาเหล่านักปราชญ์ นักคิด นักวิทยาศาสตร์ ที่มีความคิดแปลกแยกไปจากคำสอนด้วย อาทิเช่น กาลิเลโอ นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ ที่ถูกคริสตจักรพิจารณาให้มีความผิด เนื่องจากเชื่อว่าโลกกลมและโลกไม่ได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ขัดแย้งกับความเชื่อในคัมภีร์ไบเบิลดั้งเดิมของคริสตจักรที่กล่าวว่าโลกแบน เป็นต้น
ในศตวรรษที่ 16-17 เฉพาะทวีปอเมริกาเหนือ มีจำนวนแม่มดมากถึง 50,000 คน จนทำให้ถูกเรียกขานว่าเป็นดินแดนแห่งวิชาคุณไสย (Witchcarf) ในขณะที่ทวีปออสเตรเลียและทวีปยุโรป ถึงจะไม่มีการเปิดเผยตัวเลขที่ชัดเจนของจำนวนแม่มด แต่ก็มีการสันนิฐานว่าน่าจะมีจำนวนมากพอๆกับทวีปอเมริกา นอกจากนี้ในสหรัฐอเมริกา ยังมีการเปิดสอนวิชาแม่มดทางจดหมาย โดยโบสถ์และโรงเรียนแห่งวิกแคน มีผู้สนใจเข้าร่วมเรียนมากถึง 4,000 คน โดยผู้ที่เข้าร่วมเรียนมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันต่อเวทมนต์ บางกลุ่มมองว่าเป็นความสนุกสนานรื่นเริง ในขณะที่อีกกลุ่มมีความเกลียดชังต่อลัทธิแม่มด
การแต่งกายของแม่มด
เมื่อกล่าวถึงแม่มด พ่อมด เราก็มักที่จะติดภาพจากภาพยนตร์ หรือจากหนังสือนิทานฝังเอาไว้ในหัว ด้วยภาพของชายแก่ที่มีหนวดเครารุงรัง หรือหญิงชรา ผิวหนังเหี่ยวย่น มีหูดบนจมูก บางครั้งมีกรงเล็บที่แหลมคมอย่างน่าสะพรึงกลัว สวมใส่เสื้อผ้าสีดำหรือสีม่วงทับด้วยสวมผ้าคลุมสีหม่น บนศีรษะมีหมวกแหลมสูง ที่มักจะสาละวนอยู่กับการปรุงยาจากชิ้นส่วนของกบ หรือจิ้งจก มีไม้กวาดเป็นยานพาหนะพาบินขึ้นไปบนท้องฟ้ายามราตรีพร้อมกับแมวดำคู่ใจ เป็นกลุ่มคนนอกรีตที่ไม่ปฏิบัติตามหลักของศาสนา และที่สำคัญคือ มีอำนาจเวทย์มนต์เหนือธรรมชาติที่ได้มาจากการทำสัญญากับซาตาน จึงต้องคอยทำเรื่องเลวทรามต่ำช้าเพื่อรับใช้อำนาจมืดอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งกลายมาเป็นต้นแบบในนวนิยาย นิทาน ภาพยนตร์ การ์ตูน ฯลฯ เพื่อข่มขู่เด็กให้เกิดความกลัวเสียมากกว่า
ที่จริงแล้วบรรดาแม่มด พ่อมดในช่วงยุคสมัยกลางส่วนใหญ่แล้ว ภายนอกมักแต่งตัวธรรมดาๆ เดินทางด้วยการเดินเท้า จนดูค่อยแตกต่างไปจากชาวบ้านธรรมดาๆทั่วไปสักเท่าไหร่นัก แม่มดหลายๆคนต้องทำไร่ ทำนา เลี้ยงสัตว์ หรือหารายได้เสริม ค่าตอบแทนจากการทำพิธีไสยศาสตร์ และการขายเครื่องรางของขลังต่างๆ เพื่อยังชีพตัวเองเช่นกัน
แม่มด ยังมีความหมายถึง ผู้หญิง ที่สามารถใช้เวทมนต์เพื่อประกอบพิธีกรรมเหนือธรรมชาติ ในทวีปยุโรปยุคกลาง ราวศตวรรษที่ 15-17 ส่วนผู้ชายมักจะเรียกกันว่า “Warlock” ในขณะเดียวกัน แม่มด พ่อมด ในยุคนั้น ยังเป็นการเรียกเหมารวมเหล่าผู้มีความรู้ นักคณิตศาสตร์ นักดาราศาสตร์ และนักวิทยาศาสตร์ด้วย เพราะ บุคคลเหล่านี้ ก็ถูกยกให้เป็น “ผู้วิเศษ” เนื่องจากมีความรู้ที่มากกว่าคนทั่วไปเป็นอย่างมาก และน่าเสียดายที่เหล่าผู้รอบรู้เหล่านี้ ถูกหางเลขโดนกวาดล้างไปพร้อมๆกับเหล่านักเวทมนต์ ในฐานะของแม่มดหมอผีจนเกือบหมด เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ยุโรปในยุคกลางมีการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ที่ช้าอย่างมากในช่วงที่มีการล่าแม่มด เนื่องจากตำรา และความรู้ทั้งมวลถูกเผาทำลายไปจนหมดสิ้น พร้อมๆกับเหล่านักวิทยาศาสตร์นั่นเอง
แม่มดขาว กับแม่มดดำ
โดยทั่วไป สามารถทำการประเภทของแม่มดออกเป็น 2 จำพวก ตามลักษณะความเชื่อ และการปฏิบัติตัวในการใช้เวทมนต์คาถาของแม่มดเหล่านั้น ดังต่อไปนี้
1.แม่มดฝ่ายดี หรือแม่มดขาว (White Witches)
หลายคนเชื่อว่า แม่มดเป็นผู้วิเศษที่เชี่ยวชาญการรักษา และนำความโชคดีมาให้ผู้คน แม่มดขาว สามารถรักษาโรคด้วยความรู้ด้านสมุนไพรประกอบ กับใช้เวทมนต์คาถาที่ส่วนใหญ่เป็นภาษาละติน และฮิบรู ที่สืบทอดมาจากพวกเคลต์ ชาติวงศ์เมื่อพันกว่าปีก่อนของยุโรปกลาง และยุโรปตะวันออก แม่มดขาว นับถือในสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ (Supreme Being) โดยอาศัยพลังอำนาจความช่วยเหลือจากนางฟ้า หรือนักบุญ เป็นต้น ส่วนพ่อมดขาวนั้น มักถูกเรียกว่า “Warlock” ถ้านึกภาพพ่อมดขาวไม่ออกให้ลองนึกภาพของกานดาฟ จากภาพยนต์ชุด เดอะหลอด ออฟ เดอะริงก์ ก็ได้เช่นกัน
ในปลายศตวรรษที่ 19 แม่มดขาวจำนวนหนึ่งยังคงได้รับการยอมรับอย่างมากจากทั้งในชุมชนเมือง และชนบทของประเทศอังกฤษ โดยถือว่าแม่มดขาวเป็นส่วนหนึ่งที่ทรงคุณค่าของชุมชนในการให้บริการต่างๆที่มีความเกี่ยวข้องกับเวทมนตร์ เช่น มนต์คาถาในการป้องกันสิ่งชั่วร้าย การรักษา ค้นหาสมบัติ หมอดู ปรุงยารักษาโรค และช่วยเหลือในเรื่องความรัก เป็นต้น
2.แม่มดที่ชั่วร้าย หรือแม่มดดำ (Black Witches)
เชื่อกันว่าแม่มดดำคือสาวกผู้เคารพบูชาซาตาน เป็นข้ารับใช้ที่ลุ่มหลงในพลังอำนาจแห่งความมืด ที่ทำพันธสัญญากับปีศาจตัวร้ายๆ อย่างเช่น ลิลิธ (Lilith) ราชินีแห่งความมืด เพื่อให้ได้มาซึ่งพลังอำนาจแห่งมนต์ดำหรือการช่วยเหลือจากบรรดาเหล่าวิญญาณร้ายชั่วช้า โดยมีจุดมุ่งหมายสูงสุดคือการทำลายคริสต์ศาสนาและชาวคริสต์ให้สิ้นซาก ชักนำค่านิยมอันดีงามให้แปดเปื้อน พร้อมกับล่อลวงดวงวิญญาณของมนุษย์ให้ลงสู่ขุมนรก เพื่อเป้าหมายดังกล่าว แม่มดดำจึงเป็นที่จะต้องเกณฑ์หาผู้คนจำนวนมากมาเข้ารีต สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อซาตาน เพื่อช่วยกันนำพาโลกให้จมดิ่งลงสู่ขุมนรกอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
พฤติกรรมของแม่มดดำ ตามความเชื่อของคนในยุคนั้นเป็นสิ่งที่วิปริต และน่าสะพรึงกลัว ไม่ว่าจะเป็นการนำเอาเสื้อผ้าจากศพที่ถูกแขวนคอมาสวมใส่ ลักขโมยทารกไปเป็นอาหาร เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ฝูงสัตว์เลี้ยงเจ็บป่วย พืชพรรณที่เพาะปลูกเอาไว้เกิดความเสียหาย ใช้เวทมนต์ในการสาปแช่ง ทำเสน่ห์ให้คนลุ่มหลง เสกใส่วัวให้พูดได้ เป็นต้น ทั้งหมดนี้ หลายครั้งแม่มดดำก็ทำลงไปเพียงเพื่ออยากลองวิชาเท่านั้น แต่ที่โดนคำสาป ไม่ได้สนุกด้วย เพราะต้องวุ่นวายไปกับการเดินทางตามหาแม่มดดำ หรือแม่มดขาวเพื่อให้ช่วยแก้ไขขจัดคำสาปให้
ความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างแม่มดดำ กับแม่มดขาว คือ แม่มดขาวจะมีการยึดศาสนาเป็นที่ตั้ง พร้อมกับแสวงหาความสงบทางจิตใจของตัวเอง ในบางครั้งแม่มดขาวมักจะก่อตั้งศาสนาสาขาใหม่ขึ้นด้วยเจตนาอันดี เพื่อช่วยชี้นำกลุ่มคน ให้มีแนวทางและหลักปฏิบัติที่ดีในการดำเนินชีวิต ในขณะที่แม่มดดำ จะนับถือบูชาซาตาน โดยใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการคลุกคลีอยู่กับภูตผี วิญญาณร้าย และปีศาจต่างๆ พร้อมกับลองใช้ศาสตร์มืดที่ตัวเองเรียนรู้มาทดลองกับเหยื่อคล้ายกับเป็นการทดลองวิชา โดยไม่ได้สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับมนุษยชาติ
ความแตกต่างระหว่างกันของแม่มดดำและแม่มดขาว เป็นประเด็นที่ทำให้นักวิชาการต่างถกเถียงกันมาอย่างยาวนานหลายศตวรรษในปัจจุบันก็ได้มีการถือกำเนิด “แม่มดเทา” ที่บอกว่าตนเองอยู่ตรงกลางระหว่างแม่มดทั้งสองฝ่ายแม่มดเทา ไม่ได้ใช้เวทมนตร์เพื่อแสวงหาประโยชน์ทางด้านจริยธรรมหรือจิตวิญญาณแต่ก็ไม่ได้คิดร้ายทำร้ายคนอื่นเช่นกัน…