หลักฐานและการไต่สวนพ่อมด แม่มด
ศาล หลักฐานและคณะลูกขุน... เป็นกระบวนการพิพากษา เพื่อให้ความยุติธรรมแก่ทั้งโจทย์ และจำเลย เป็นสิ่งที่คนในยุคปัจจุบันล้วนคุ้นเคยกันดี แต่ถ้ามองย้อนกลับไปในสมัยยุคกลางที่เต็มไปด้วยการล่าสังหารโหดแม่มด คำว่า “ศาล” ในสมัยนั้น มีคำนิยามที่แตกต่างอย่างมาก แทนที่ศาลจะให้ความยุติธรรม มันกลับกลายเป็นระบบที่โหดร้ายทารุณ โดยเฉพาะกระบวนการหา “หลักฐาน” มาใช้ในการมัดตัวแม่มด ไม่มีอะไรเลยที่เป็นวิทยาศาสตร์ ที่ดันสามารถนำมาใช้ปรักปรำผู้ต้องหาได้จริง ยกตัวอย่างเช่น พยานที่มองเห็นวิญญาณหรือสเปกตรัมของผู้ที่ถูกกล่าวหา แม้ว่าจะเกิดขึ้นเพียงแค่ในความฝัน หรือ มีสัญลักษณ์ของแม่มดบนร่างกาย เป็นต้น หลักฐานไร้สาระเหล่านี้ ถูกยอมรับจากศาล บนพื้นฐานความเชื่อที่ว่า ปีศาจ และบรรดาลูกสมุนทั้งหลาย มีพลังเพียงพอที่จะเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นวิญญาณ เพื่อชักนำผู้บริสุทธิ์ให้เดินทางไปสู่เส้นทางที่หลงผิด
การสอบสวนแม่มด
เมื่อทำการทดสอบว่าเป็นแม่มดหรือไม่ดั่งที่ได้กล่าวถึงไปแล้วในข้างต้น จนพบว่ามีหลักฐาน หรือสัญญาณที่บ่งบอกว่าผู้ต้องสงสัย น่าจะเป็นสาวกของซาตาน พวกเขาจะถูกนำตัวไปทำการสอบสวนต่อไป โดยการนำไปขึ้นศาลโดยมี “คณะผู้ศักดิ์สิทธิ์” หรือผู้พิพากษาของท้องถิ่น ที่ได้รับการแต่งตั้งจากคริสตจักร เป็นผู้ทำการไต่สวน
ศาลที่ใช้ในการไต่สวนแม่มด มีลักษณะเหมือนกับศาลทั่วๆไป โดยมีการพยายามหาทางพิสูจน์ว่าผู้ถูกกล่าวหานั้น เกี่ยวข้องกับการใช้เวทมนตร์ ด้วยการใช้ “หลักฐานผูกมัด” หรือ “การยอมรับสารภาพ” แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว เนื่องจากผู้ต้องสงสัยเหล่านั้นไม่ได้ทำการใช้เวทมนตร์จริงๆ การหาหลักฐานมาผูกมัดอย่างเป็นรูปธรรมจึงเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ วิธีการเดียวที่เหลืออยู่ที่จะช่วยให้สามารถเอาผิดได้ จึงเหลือเพียงแค่การทำให้ยอมรับสารภาพเท่านั้น
เมื่ออยู่ในศาล ผู้ต้องสงสัยจะถูกซักถามเกี่ยวกับเวทมนตร์ที่ใช้ ความสัมพันธ์กับซาตาน รวมไปถึงกิจกรรมพิธีกรรมต่างๆ ในขั้นตอนการสอบสวนคณะผู้ศักดิ์สิทธิ์จะพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้มีการรับสารภาพ และบอกรายชื่อของแม่มดคนอื่นๆ ถ้าหากผู้ต้องสงสัยปากแข็งไม่ยอมรับสารภาพ ก็จะถูกจับแก้ผ้าออก แล้วทำการโกนขนออกหมดทั้งตัว เพื่อค้นหา “เครื่องหมายของปีศาจ” ที่ปรากฏอยู่บนตัว โดยเชื่อกันว่าถ้าหากมีตำหนิ หรือปาน จะเป็นเครื่องหมายของปีศาจตัวผู้ ในขณะที่รอยแผลเป็นหรือขี้แมลงวัน จะเป็นสัญลักษณ์ของปีศาจตัวเมีย ถ้าหากพบรอยตำหนิอะไรก็ตามบนร่างกาย ก็จะถูกบังคับให้ทำการรับสารภาพอีกครั้ง ถ้าหากยังปากแข็งอีก ก็จะถูกนำตัวไปทำการทรมานเพื่อให้รับสารภาพ
มีผู้ต้องสงสัยจำนวนมากที่เสียชีวิตไปในระหว่างการทรมานก่อนนำตัวขึ้นให้ศาลตัดไต่สวน แต่ความตายเหล่านั้น กลับถูกเหล่าผู้พิพากษาโยนให้เป็นความผิดของปีศาจ โดยอ้างว่าปีศาจทำการสังหารผู้คนเหล่านั้น เพราะไม่ต้องการให้เปิดเผยความลับ หรือเพื่อป้องกันไม่ให้เปิดเผยรายชื่อของแม่มดคนอื่นๆ
ในปี ค.ศ. 1486 คณะล่าแม่มด ได้ทำการพิมพ์ “คู่มือพฤติกรรมแม่มด” เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการจับ และการล่าแม่มดอย่างถูกต้องแม่นยำมากยิ่งขึ้น โดยประกาศว่าเป็นการช่วยป้องกันไม่ให้ผู้บริสุทธิ์ต้องรับโทษ แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันแทบไม่ได้ช่วยลดจำนวนผู้เสียชีวิตให้น้อยลงแต่อย่างใด ภายในหนังสือเล่มนี้ มีการบรรยายข้อสังเกต รวมไปถึงลักษณะของแม่มด เอาไว้อย่างชัดเจน ดังต่อไปนี้
1.เป็นผู้หญิง
มักเชื่อกันฝังหัวว่าแม่มดโดยส่วนใหญ่เป็น “ผู้หญิง” โดยเฉพาะหญิงชรา ด้วยเหตุผลที่ว่าผู้หญิงอ่อนแอกว่าผู้ชาย จึงมักถูกปีศาจล่อลวงได้ง่ายกว่า นอกจากนี้ ใน ค.ศ. 893 สมัยกษัตริย์แห่งเวลเซ็กส์ พระเจ้าอัลเฟรดมหาราช ได้ตรากฏหมาย ที่รู้จักกันในชื่อของ “กฎหมายของอัลเฟรด” ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่า การเรียนรู้ และใช้เวทมนตร์คาถา เป็นกิจกรรมของ “เพศหญิง”
2.รอยตำหนิของปีศาจ (Witches’ Mark)
ในสังคมแห่งความหวาดระแวง หากใครมีไฝ ปาน ตุ่ม ไต หรือรอยตำหนิอื่นๆ ติดตัวมาด้วยตั้งแต่กำเนิด อาจถูกระบุว่าเป็นเครื่องหมายของแม่มดได้ทั้งสิ้น เพราะเชื่อกันว่ารอยตำหนิเหล่านั้น เกิดจากการให้ทารกของซาตาน หรือปีศาจดูดรับวิญญาณจากแม่มด บริเวณที่เหล่านักล่าแม่มดให้ความสนใจตรวจสอบกันมากเป็นพิเศษ คือ “จุกนม” ถ้าหากมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับจุกนมเพียงเล็กน้อย ถือว่าเป็นผู้ที่ไม่มีความบริสุทธิ์ เนื่องจากร่างกายมี “รอยตำหนิของปีศาจ” (Diabolical Mark) แต่ถึงจะไม่มีร่องรอยตำหนิเหล่านี้ให้เห็นอยู่บนร่างกายก็ตาม ก็อาจถูกผู้สำรวจให้ร้ายว่า มี “รอยตำหนิที่มองไม่เห็น” (Invisible Mark) และมักที่จะถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดได้เช่นกัน เพราะเชื่อกันว่า ผู้หญิงที่ไม่มีรอยตำหนิบนผิวหนังเลยแม้แต่นิดเดียว เป็นคนโปรดของปีศาจ ทำให้ตรวจสอบเครื่องหมายของปีศาจได้ยาก ในบางครั้ง ถึงขนาดใช้อุปกรณ์แหลมคมกรีด หรือเจาะเนื้อหนังออก เพื่อค้นหาเครื่องหมายของแม่มดที่หลบซ่อนอยู่ภายใต้ผิวหนังกันเลยทีเดียว
3.มีเส้นผมสีแดง
คนในยุคนั้นเชื่อว่า ผมสีแดงเพลิงเป็นสัญลักษณ์ของข้ารับใช้แห่งปีศาจร้าย คนที่มีผมสีแดงเป็นจำนวนมาก จึงถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดง่ายกว่าคนอื่นๆ
4.ถูกกล่าวหาจากแม่มดคนอื่น
เมื่อใครก็ตามถูกจับกุม พร้อมกับรับสารภาพว่าตัวเองเป็นแม่มด ถ้าหากยอมบอกชื่อของแม่มดคนอื่นๆ โทษที่ได้รับมักเบาลง อย่างน้อยที่สุดก็ได้ตายสบายๆ ไม่ต้องทนถูกทรมานมากนัก ด้วยการเปลี่ยนจากถูกเผาทั้งเป็น กลายเป็นการรัดคอให้ตายเสียก่อนแล้วค่อยนำร่างไปเผาต่อสาธารณชน เป็นต้น จึงไม่น่าแปลกใจที่จะทำให้เกิดการซัดทอดใส่ความผู้บริสุทธิ์คนอื่นๆว่าเป็นแม่มดอย่างมากมาย เนื่องจากเชื่อกันว่าแม่มดนิยมอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เพื่อทำพิธีกรรมต่างๆ
5.คนในครอบครัวถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด
หากสมาชิกของครอบครัวใด ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด ผู้หญิงคนอื่นๆในครอบครัวมักถูกต้องสงสัยว่าเป็นแม่มดตามไปด้วย ทำให้ครอบครัวของผู้ที่ถูกกล่าวหาถูกรังเกียจจากสังคม นอกจากนี้บ่อยครั้ง ที่เกิดการเผาทั้งเป็นทิ้งทั้งครอบครัว เพื่อเป็นการตัดไฟแม่มดเสียตั้งแต่ต้นลม
6.ผู้ไม่แสดงความนับถือต่อศาสนา
การพูดจาไม่ดี ไม่แสดงความนับถือ มีแนวคิดขัดแย้ง ไม่เห็นด้วย ไม่ได้เข้าประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ลบหลู่ศาสนา ไม่เห็นด้วยกับการล่าแม่มด ทั้งทางวาจา หรือการแสดงออกก็ตาม ถ้าหากถูกนำรายชื่อไปฟ้องกับทางโบสถ์ มักเหมารวมว่าคนเหล่านั้นเป็นคนนอกศาสนา ผู้ต่อต้านศาสนา เป็นเหล่าพวกบูชาลัทธิ ผีปีศาจ ไปโดยปริยาย
ในปี ค.ศ.1628 ช่วงยุคสมัยการปกครองของพระเจ้าโยฮันจอร์จที่ 2 (Gohannes Georg II) แห่งเยอรมัน มีจดหมายเล็กๆฉบับหนึ่ง เขียนโดน โยฮันเนส จูนิอุส นายกรัฐมนตรีแห่งแบมเบิร์ก ชายผู้มีมนุษย์ธรรมสูงส่ง ที่ไม่เห็นด้วยในการสร้างโรงทรมานสำหรับแม่มดโดยเฉพาะ เขาจึงถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด พร้อมกับถูกจับกุม ก่อนเสียชีวิต เขาได้จดหมายที่เปื้อนเลือดถึงมือของลูกสาว เนื้อหาในนั้นแสดงให้เห็นถึงความทุกข์ทรมาน ที่เกิดขึ้นจากการไต่สวน และลงโทษแม่มดอย่างแสนสาหัสที่เขาได้รับ
“ลูกรักของพ่อ ฟังคำสารภาพของพ่อก่อนที่จะตาย มันเป็นเรื่องโกหกที่กุขึ้นมาทั้งสิ้น โอ! พระผู้เป็นเจ้า โปรดช่วยลูกด้วย ลูกถูกบังคับให้พูดออกมาเพราะหวาดกลัวต่อการทรมาน ซึ่งลูกทรมานนานแล้ว ไม่มีใครจะรอดจากการทรมานนี้ไปได้หากไม่สารภาพ ไม่ว่าจะเป็นคนดีสักเพียงใด ก็ต้องสารภาพว่าเป็นแม่มด พ่อมด… เพื่อไม่ให้เลือดต้องหลั่งรินตามเล็บมือ เล็บเท้า และทุกส่วนของร่างกาย…”
หลังจากกัดฟันอดทนอย่างยาวนาน ในที่สุด จูนิอุส ก็ต้องยอมรับสารภาพ และถูกประหารชีวิตในที่สุด จดหมายลับๆที่ได้บรรยายความทุกข์ทรมานแสนสาหัสที่ได้รับ รวมไปถึงความจำเป็นที่ต้องสารภาพ เพื่อให้พ้นจากความทุกข์ทรมาน ได้สร้างความสะเทือนใจให้กับผู้คนในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก
7.ทำร้ายผู้อื่นโดยการใช้เวทย์มนตร์
เมื่อเกิดสิ่งปกติกับผู้คน หรือเกิดปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติขึ้นรอบๆตัวของผู้ที่ถูกกล่าวหา ที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ เช่น เกิดโรคระบาดขึ้นในหมู่บ้าน ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก ในขณะที่ผู้ที่ถูกกล่าวหาไม่เป็นอะไรเลย มักมีการสรุปเอาเองกันดื้อๆว่า ผู้ถูกกล่าวหาต้องมีการใช้เวทมนตร์ในการป้องกันตัวเอง หรือการทำร้ายคนอื่นๆในหมู่บ้าน แน่นอนว่า ผู้ที่ถูกกล่าวหาต้องกลายมาเป็นเหยื่อรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฐานะของแม่มดอย่างไร้เหตุผล
8.มีรูปลักษณ์ภายนอกที่แตกต่างจากผู้อื่น
การมีรูปร่างหน้าตาที่อัปลักษณ์สุดๆ หรือสวยงามมากจนเกินไป ก็ตกเป็นเป้าหมายในการล่าแม่มดทั้งสิ้นหากสวยงามจนเกินไป มักถูกใส่ความว่า ได้รับมาจากการนำเอาวิญญาณไปแลกเปลี่ยนเรือนร่างที่งดงามมาจากปีศาจ ส่วนคนที่อัปลักษณ์มีอวัยวะบางส่วนที่ไม่ปกติ เช่น จมูกใหญ่จนเกินไป ฟันยื่นจนเกินไป แขนบางข้างพิการเล็กลีบ เป็นต้น ความแตกต่างจากผู้อื่นเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ทำให้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแม่มดได้ทั้งสิ้น
9.ผู้ที่มีความรู้ด้านการแพทย์
คนที่มีความรู้ทางด้านการแพทย์ การรักษา การใช้ยาสมุนไพร ที่ไม่ใช่นักบวชในศาสนาคริสต์ มักที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดอยู่บ่อยๆ ด้วยความเชื่อที่ว่าพลังแห่งการรักษาเหล่านั้น แท้ที่จริงแล้วมาจากการใช้เวทย์มนตร์นั่นเอง
10.มีสัตว์เลี้ยงแปลกๆ
อาทิเช่น แมวดำ ค้างคาว เป็นต้น ซึ่งเป็นสัตว์ที่ผู้คนในยุคนั้นไม่นิยมเลี้ยงกัน เนื่องจากมองว่าเป็นสิ่งอัปมงคล ยิ่งถ้าหากใครนั่งคุยกับสัตว์เลี้ยงเหล่านั้นบ่อยๆ ราวกับฟังที่พวกมันพูดเข้าใจ ก็จะยิ่งถูกปรักปรำว่าเป็นแม่มดง่ายมากยิ่งขึ้นไปอีก
11.เป็นพวกสันโดษ
ผู้ที่รักความสันโดษ ไม่สุงสิงเข้าสังคมกับคนอื่นๆ หรือชอบเก็บเนื้อเก็บตัว มักตกเป็นผู้ต้องสงสัยก่อนคนอื่นๆว่าแอบบูชาภูตผีปีศาจ เพราะเ
ชื่อกันว่าแม่มด พ่อมด เป็นผู้ที่หลบลี้ หนีหน้าผู้คน เนื่องจากนิยมประกอบพิธีกรรมอันชั่วร้ายนั่นเอง
12.การชั่งน้ำหนักด้วยตาชั่ง
เป็นการใช้ตาชั่งเพื่อวัดน้ำหนักของผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแม่มด มักถูกนำมาใช้กับหญิงที่มีรูปร่างอ้วน เนื่องจากมีความเชื่อว่าการที่แม่มด มักใช้ไม้กวาดเป็นพาหนะบินล่องลอยไปบนท้องฟ้า ดังนั้นแม่มดจึงต้องมีน้ำหนักที่เบามากๆจึงจะสามารถบินได้ ถ้าหากผู้ต้องสงสัยมีน้ำหนักเบามาก ทั้งที่มีรูปร่างอวบอ้วน ก็แสดงว่าจะต้องเป็นแม่มดอย่างแน่นอน
ในยุคแห่งการล่าแม่มด การใส่ร้ายกันว่าเป็นแม่มด ด้วยหลักฐานที่สุดไร้สาระเหล่านี้ ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการกำจัดศัตรูจากความขัดแย้งส่วนตัวอย่างกว้างขวางไปทั่วโลก เพราะมันเป็น “ข้ออ้าง” ที่สุดแสนสะดวกสบาย ให้เกิดกระบวนการสอบสวนเพื่อหาหลักฐานว่าเป็นแม่มดจริงหรือไม่ เพราะต่อให้บริสุทธิ์ผุดผ่อน ใจแข็งเพียงใด เมื่อเข้าสู่กระบวนการสอบสวนที่เต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัวแบบสุดๆ น้อยคนนักที่จะไม่ยอมรับสารภาพ เพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากความเจ็บปวด อย่างน้อยก็ยังได้ตายสบายๆ อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
การทดสอบในเบื้องต้นเพื่อยืนยันความเป็นแม่มด
หลังจากที่ทางโบสถ์ได้ทำการจับกุมตัวบรรดาผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแม่มด จากหลักฐานต่างๆในข้างต้น มาแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการเข้าสู่กระบวนการทดสอบความบริสุทธิ์ ด้วยวิธีการต่างๆที่เรียกได้ว่าเป็นการทรมานทั้งทางร่างกาย และจิตใจของผู้ต้องสงสัยเป็นอย่างมาก เพื่อให้ได้มาซึ่งคำยอมรับสารภาพว่าตัวเองเป็นแม่มด โดยการทรมาน มักเริ่มต้น ด้วยวิธีการต่างๆ ดังต่อไปนี้
1.แทงด้วยเข็ม
เป็นวิธีการทดสอบสำหรับคนที่มีรอยตำหนิบนร่างกาย เชื่อกันว่า ถ้าหากแทงเข็มเข้าไปยังรอยตำหนิเหล่านั้น หากเป็นแม่มด จะไม่มีเลือดซึมออกมา หรือ ผู้ต้องสงสัยจะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด แต่จริงๆแล้วเจ้าหน้าผู้ที่มักใช้เข็มปลายทู่ หรือใช้เทคนิคต่างๆ อาทิเช่น การแทงเข็มเข้าไปถึงเพียงแค่ชั้นผิวหนังกำพร้า ทำให้ไม่มีเลือดออก แถมยังไม่ทันเจ็บปวด เป็นต้น ทำให้ผู้ต้องสงสัยต้องกลายเป็นแม่มดไปโดยปริยาย หรือบางครั้งอาจจะใช้ปลายมีด หรือปลายของมีคมชนิดอื่นๆ มาทำการทิ่มแทงเพื่อทดสอบเช่นกัน
2.ทดสอบความศรัทธาต่อพระเจ้า
เป็นการทดสอบความศรัทธาต่อพระเจ้า ด้วยการให้ผู้ต้องสงสัยอ่านคัมภีร์บทสวดของพระเจ้า (Lord’s Prayer) โดยห้ามอ่านผิด อ่านติดขัด หรือติดอ่าง แม้แต่เพียงเล็กน้อย ถ้าหากมีอาการผิดปกติใดๆ ก็ตาม จะถูกตัดสินว่าเป็นสาวกของปีศาจ เนื่องจากไม่สามารถทนอ่านคัมภีร์บทสวด เพราะเกรงกลัวในฤทธิ์ของพระเจ้า ทั้งที่จริงแล้ว คนที่กำลังอยู่ในสถานการณ์เข้าด้ายเข้าเข็ม ที่เต็มไปด้วยความกดดัน เช่นนั้น ส่วนใหญ่ย่อมมักที่จะเกิดอาการประหม่า ตื่นเต้น จนทำให้เกิดการอ่านถูกอ่านผิดขึ้นอย่างแน่นอน
3.การสัมผัสตัวคนที่กำลังมีอาการชัก
ในกรณีที่มีคนในหมู่บ้านเกิดอาการชัก คล้ายกับกำลังถูกปีศาจเข้าสิง มักที่จะมีการทดสอบโดยให้ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแม่มดทำการสัมผัสแตะตัวผู้ที่กำลังชักอยู่ ถ้าหากอาการชักเหล่านั้นหายไปในทันที ย่อมหมายความว่าผู้ต้องสงสัยเป็นแม่มด เนื่องจากมีความเชื่อว่า แม่มดมีความสามารถที่จะดูดเอาพลังเวทมนตร์ออกจากร่างกายของคนที่ชักอยู่ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้ว คนที่เกิดอาการชักก็มักจะเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับการใส่ความผู้ต้องสงสัย ที่แสดงอาการชักแกล้งทำว่าถูกเวทมนตร์นั่นเอง แน่นอนว่าเมื่อถูกเป้าหมายแตะตัว การเล่นละครลิงของพวกเขาก็ต้องจบลงตามไปด้วย
หากเจ้าหน้าที่ ใช้วิธีการทดสอบในเบื้องต้นข้างต้น แต่ผู้ถูกกล่าวหายังคงปากแข็งอดทนต่อความเจ็บปวด และไม่ยอมรับสารภาพ เจ้าหน้าที่ก็จะเลือกใช้วิธีการทรมานที่มีความโหดร้ายป่าเถื่อนมากยิ่งขึ้น เพื่อบีบบังคับให้ผู้ต้องสงสัยรับสารภาพให้ได้
วิธีการทรมานแม่มดอันเหี้ยมโหด เพื่อให้ได้รับคำสารภาพ
ในยุคแห่งการอ้างนามแห่งพระผู้เป็นเจ้า การได้รับคำสารภาพว่าเป็น “แม่มด” จากปากของผู้ต้องสงสัย คือ สิ่งที่ผู้พิพากษา ต้องการได้ยินมากที่สุด ทันทีที่คำนั้นถูกเอ่ยออกมา พวกเขาจะมีสิทธิ์โดยชอบธรรมในการนำแม่มดไปประหารกลางที่สาธารณะ ที่ชาวบ้านนับร้อย นับพันคนรอคอยเฝ้าดูการประหาร ที่ส่วนใหญ่แล้วมักที่จะเป็นการเผาทั้งเป็นกันอย่างใกล้ชิด ฝูงชนที่หลั่งไหลมาดูความโหดเหี้ยมจากทุกสารทิศนี้ ราวกับมีเทศกาลที่สำคัญประจำปี
ดังนั้น เพื่อไม่ให้ชาวบ้านที่เฝ้ารอคอยการประหารต้องรอเก้อ เจ้าหน้าที่ จึงจำเป็นที่จะต้องสรรหาวิธีการอันเหี้ยมโหดต่างๆนาๆมาทำการทรมานผู้ต้องสงสัย จนทำให้เกิดวิธีการทรมานมนุษย์อันน่าสยดสยองหลงเหลือมาให้เราทำการศึกษาถึงความโหดร้ายป่าเถื่อนที่มนุษย์ได้กระทำต่อมนุษย์ ในปัจจุบัน สำหรับการทรมานในยุคนั้น แถมในยุคนั้นยังมีกฏในการทรมานประหลาดๆอยู่ว่า หากอยู่ในระหว่างการทรมาน แต่ผู้ต้องสงสัยกลับไม่ส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ก็มักถูกตัดสินว่าเป็นแม่มดในทันที…
การทรมานในเบื้องต้น
การทรมานในเบื้องต้น เป็นวิธีการทรมานที่ยังถือว่าไม่รุนแรงนัก แต่ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดส่วนใหญ่ที่ใจไม่แข็งพอ เพียงแค่เดินเข้าไปในห้องทรมาน และได้เห็นบรรดาเครื่องมือเปื้อนเลือดมากมาย วางเรียงรายเตรียมหยิบมาใช้กับตัวเอง ก็แทบลมใส่ หรือรีบทำการสารภาพออกมาชนิดลิ้นพันกันเลยทีเดียว แต่สำหรับคนที่ใจแข็งหน่อย ก็จะถูกนำตัวไปทำการทรมานด้วยสารพัดเครื่องมือ ที่ถูกประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาเพื่อมอบความทุกข์ทรมานให้กับร่างกายของมนุษย์โดยเฉพาะ พร้อมกับถูกเจ้าหน้าที่ตะคอกถามซ้ำๆ ว่า “สารภาพมาซะดีๆ ว่าเป็นแม่มด ใช่หรือไม่” สำหรับเหล่าวิธีการทรมาน ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคนั้น มีดังต่อไปนี้
1.จับถ่วงน้ำ
มีความเชื่อกันว่าน้ำเป็นสิ่งบริสุทธิ์ และจะไม่ยอมรับผู้ที่มีจิตวิญญาณชั่วร้าย ที่ไม่ได้รับน้ำมนต์ล้างบาป ดังนั้นจึงได้มีการนำผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแม่มดมากมาย มัดมือ มัดเท้า แล้วถ่วงลงไปในน้ำลึก ถ้าหากเป็นสาวกของพระเจ้า ผู้ต้องสงสัยก็จะจมน้ำลงไป แต่ถ้าหากเป็นแม่มดก็จะถูกดันให้ลอยกลับขึ้นมา แต่ถ้าหากจม หรือจมน้ำตายก็ถือเป็นผู้บริสุทธิ์ ความเชื่อดังกล่าว ทำให้มีผู้บริสุทธิ์จำนวนมากต้องจมน้ำเสียชีวิตไป เนื่องจากจมลงไปในน้ำในสภาพที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้นั่นเอง
2.เครื่องบีบนิ้ว
เป็นเครื่องมือที่คิดค้นขึ้นมาในช่วงศตวรรษที่ 12 ด้วยการนำนิ้วของผู้ต้องสงสัยวางลงไปในช่องว่างระหว่างเครื่องครั้งละ 1-2 นิ้ว จากนั้นก็จะทำการหมุนสกรูช้าๆ เพื่อให้เหล็กแหลมที่อยู่ด้านบนค่อยๆบีบทิ่มลงมาในโคนเล็บ แทงเข้าไปในชั้นเนื้อในของโคนเล็บเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ยินคำสารภาพ
3.ตอกเล็บ
เจ้าหน้าที่ใช้ขนาดใหญ่ๆ ตะปูตอกตรงๆลงไปบนเล็บมือ หรือเล็บเท้า ทีละเล็บๆ จนกว่าผู้ที่ถูกกล่าวหาจะยอมรับสารภาพ จากบันทึกพบว่า หลายครั้งการตอกเล็บมือจนละเอียดนี้ ถูกนำไปใช้แม้แต่กับเด็กอายุน้อยกว่า 7 ขวบ เพื่อบีบให้รับสารภาพ
4.เครื่องบีบขมับ
เป็นเครื่องมือที่ถูกออกแบบมาเพื่อบีบขมับของเหยื่อให้เกิดความเจ็บปวด กล่าวกันว่าความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นนั้น มากยิ่งกว่าปวดหัวไมเกรนหลายเท่าทีเดียว เครื่องบีบขมับในยุคแรกๆ มีขนาดใหญ่ และถูกใช้ในการบีบกดศีรษะลงตามแรงโน้มถ่วง แต่ค่อยๆถูกพัฒนาจนกระทั่งมีขนาดเล็กลง แต่ให้ผลลัพธ์ในการบีบขมับที่สร้างความเจ็บปวดได้มากเดิม
5.เครื่องบีบอัดขา
มีลักษณะเหมือนกับเครื่องบีบนิ้ว แต่มีขนาดใหญ่กว่า ใช้ในการบีบอัดขา เพื่อให้กระดูกแตก
6.เครื่องยืดแขนขา
เป็นการจับผู้ต้องสงสัยนอนลงกับพื้น แล้วใช้โซ่ล่ามแขนขาทุกข้าง จากนั้นใช้เครื่องมือ หรือม้าทำการฉุดดึงแขนขาไปในทิศทางตรงกันข้าม ทำให้เกิดความเจ็บปวดทรมานจากแรงต้านที่เกิดขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ
7.เหล็กเผาไฟ
การใช้เหล็กเผาไฟร้อนๆ แดงๆ ที่กำลังระอุ ขนาดเหมาะมือ ทิ่มตามส่วนต่างๆของร่างกาย เป็นวิธีการทรมานยอดฮิตในยุคนั้น นอกจากเหยื่อจะต้องเผชิญกับความปวดแสบปวดร้อนจากเหล็กย่างไฟแล้ว เมื่อดึงเหล็กออก ผิวหนังที่สัมผัสส่วนหนึ่งก็จะฉีกติดมากับเหล็กจากความร้อนด้วย ยิ่งเพิ่มความทรมานให้มากยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่า
8.เครื่องบีบหัวนม
เครื่องมือนี้ มีลักษณะเหมือนกับคีม ใช้ในการบีบหัวนม ที่ไวต่อความรู้สึกของมนุษย์ แน่นอนว่าความเจ็บปวดที่ได้รับนั้น รุนแรงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าเลยทีเดียว
9.ตีหน้าแข้งด้วยไม้เหลี่ยม
เป็นการใช้เหลี่ยม ของไม้สามเหลี่ยมทำการตีไปเรื่อยๆตามส่วนต่างๆของร่างกาย เช่น หน้าแข็ง เป็นต้น เการตีไปเรื่อยๆ ซ้ำๆ นี้ จะถูกทำจนกว่ากระดูกจะแหลกเหลวไปในที่สุด
การทรมานอย่างแสนสาหัส
ถ้าหากว่าการทรมานในเบื้องต้น ไม่ทำให้ได้รับคำสารภาพตามที่ต้องการ วิธีการทรมานก็จะเริ่มเข้าไปสู่ขั้นตอนที่เหี้ยมโหดมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ในระดับของการทรมานนี้เอง ที่คร่าชีวิตของผู้บริสุทธิ์ไปเป็นจำนวนมาก นักประวัติศาสตร์เชื่อว่า ตัวเลขของผู้เสียชีวิตในขั้นตอนนี้ มีมากกว่าการประหารด้วยเผาทั้งเป็นหลายเท่าเลยทีเดียว สำหรับวิธีการทรมานแบบโหดเหี้ยม แบบหวังให้ตายกันไปข้าง มีดังต่อไปนี้
1.Strappado
เป็นวิธีการทรมาน โดยนำเอาผู้ต้องสงสัยที่เปลือยกายไปแขวนโยงกับรอก ถ่วงน้ำหนักที่เท้า แล้วดึงห้อยแขวนเอาไว้กลางอากาศจนกว่าจะยอมรับสารภาพ ถ้าหากเหยื่อมีร่างกายที่บอบบางจนทนรับน้ำหนักไม่ไหว ร่างกายก็จะฉีกขาดออกจากกันเป็นสองท่อน ทำให้เครื่องในไหลทะลักออกมาอย่างน่าสังเวช
2.Caspie Claws
เป็นการใช้เหล็กรัดบีบแขนเข้าหากัน ผู้ต้องสงสัยนามว่า อลิสัน บาลโฟ ถูกใช้วิธีดังกล่าวบีบให้รับสารภาพเป็นเวลาติดต่อกันยาวนานกว่า 48 ชั่วโมง ในที่สุด เขาก็ต้องยอมรับสารภาพ เพราะทนความเจ็บปวดไม่ไหว
3.วางทับด้วยแท่งศิลา
เจ้าหน้าที่จะใช้เครื่องชักรอกนำตะกร้าที่ใส่ก้อนหิน หย่อนทับใส่ร่างของผู้ต้องสงสัย ถ้าหากยังไม่ยอมรับสารภาพ จำนวนของก้อนหินก็ถูกใส่เพิ่มเข้าไปในตะกร้ามากขึ้นเรื่อยๆ การทรมานจะดำเนินต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะได้รับคำสารภาพ หรือผู้ต้องสงสัยถูกน้ำหนักของหินกดทับจนกระทั่งเสียชีวิต มีการบันทึกเอาไว้ว่า บางรายต้องทนรับการทรมานนี้ จนน้ำหนักของหินรวมกันได้ถึง 700 ปอนด์ เลยทีเดียว
4.เครื่องชักรอกดึงแขน
เป็นการใช้เครื่องชักรอกดึงแขนของเหยื่อให้ไขว้ขึ้น โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ไหล่หลุด แล้วจึงค่อยนำไปแขวนเอาไว้กลางอากาศ เพื่อให้ทรมานมากยิ่งขึ้น
5.ตอกร่างกายด้วยลิ่มเหล็ก
โดยการใช้ลิ่มเหล็กตอกเข้าไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย โดยหวังให้เกิดความทรมานที่ไม่ถึงชีวิต เช่น แขน ขา เป็นต้น จากการบันทึกพบว่า มีเหยื่อบางรายถูกลิ่มเหล็กตอกบดขยี้กระดูกขา รวมกันอยู่ถึง 48 ครั้งเลยทีเดียว
6.ม้านั่งแช่น้ำ
เป็นหนึ่งในวิธีการทรมานแม่มดที่พบกันบ่อยที่สุด เป็นการจับเอาเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายไปมัดแขนมัดขาผูกติดเอาไว้กับเก้าอี้ จากนั้นนำเอาไปถ่วงน้ำทั้งเก้าอี้ แล้วมีคานช่วยยกให้เก้าอี้โผล่ขึ้นมาพ้นน้ำ ขั้นตอนนี้ มักทำสลับกันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้รับคำสารภาพ หรือเหยื่อสำลักน้ำตายไปเสียก่อน
7. Coffin Torture
เป็นหนึ่งในการทรมานมนุษย์ ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงยุคกลาง ด้วยการจับผู้ต้องหามาใส่เอาไว้ในกรงเหล็กขนาดเล็กขนาดพอดีตัว แล้วนำไปห้อยทิ้งเอาไว้บนต้นไม้ หรือบนตะแลงแกง จนกว่าจะอดตาย แล้วปล่อยให้นกกามาจิกกินซากศพจนเหลือแต่กระดูก วิธีทรมานบวกกับการประหารนี้ ยังส่งผลด้านจิตวิทยากับฝูงชน ที่มาคอยเฝ้าดูการตายอย่างช้าๆนี้อีกด้วย
8.Iron Maiden
อุปกรณ์ เครื่องมือทรมาน ที่ถูกสร้างขึ้นในรูปแบบของตู้เหล็กขนาดใหญ่ ที่มีแท่งเหล็กอยู่ภายในมากเพียงพอที่จะล้อมรอบร่างกายของมนุษย์ทุกส่วน เมื่ออยู่ภายในตู้เหล็กนี้ เหยื่อจะไม่สามารถขยับตัวได้ เพราะมีเหล็กแหลมคอยทิ่มแทงร่างกายเอาไว้จากทุกทิศทาง ถ้าหากไม่ทำการสารภาพอย่างที่ผู้คุมต้องการ ก็จะมีเสียงกรีดร้องอย่างน่าเวทนา ในขณะที่เลือดสดๆ จากการถูกทิ่มแทง ก็จะไหลลอดช่องว่างด้านล่างของตู้เหล็กออกมา
9.The Chair of Torture
เก้าอี้ทรมาน ที่มักรู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า Judas Chair เป็นหนึ่งในเครื่องมือ ทรมานมนุษย์ ที่สุดแสนน่ากลัว หลังการคิดค้น เครื่องมือชิ้นนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคกลาง และยังคงใช้กันอย่างแพร่หลายจนถึงปี ค.ศ.1800 เพียงแค่ในยุโรปก็มีเครื่องมือชิ้นนี้มากถึง 500 – 1500 ชิ้น แล้ว ทุกพื้นที่ของเก้าอี้มีหนามแหลมคม และมีสายรัดที่ยึดร่างของเหยื่อให้อยู่นิ่งๆ และมีช่องให้สามารถนำถ่านร้อนๆมาใส่ในที่นั่งของเบาะได้อีกด้วย มันมักถูกนำมาใช้เพื่อข่มขู่ให้เหยื่อสารภาพ ในขณะที่มองดูคนอื่นๆ กำลังถูกทรมานอย่างแสนสาหัส
วิธีการทรมานที่ถูกประสร้างขึ้นในยุคสมัยแห่งการล่าแม่มด ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พวกมันล้วนแล้วแต่ออกแบบมาเพื่อส่งมอบความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ถ้าหากทนไม่ไหวยอมรับสารภาพก็ต้องถูกเผาทั้งเป็นในฐานะของแม่มด แต่ถ้าไม่ยอมรับสารภาพก็จะต้องถูกทรมานซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปเรื่อยๆจนกว่าที่จะสิ้นใจตายคาเครื่องมือทรมานเหล่านั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ในยุคนั้น มักถูกเรียกว่า “ยุคมืดแห่งเสียงกรีดร้อง” เพราะเสียงโหยหวนของผู้ถูกทรมานได้ดังระงมไปทั่วยุโรป และอเมริกาบางส่วน ที่น่าสะพรึงกลัวมากกว่านั้น คือ ความเงียบ ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น หมายถึงสัญญาณบ่งบอกว่า ชีวิตของเหยื่อได้ลอยล่องไปกับสายลมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว…