หน้ากากต้องสาปของนักรบแห่งเมารี (Maori Warrior Masks)
นักรบแห่งเมารี
“หน้ากาก” สำหรับหลายคนมันอาจเป็นอุปกรณ์แฟชั่นที่นำมาใช้สำหรับแต่งตัวรับกับเทศกาลหรืองานเลี้ยง แต่ในหลายพื้นที่ของโลก หน้ากากมีความหมายด้านจิตวิญญาณที่เต็มไปด้วยความเชื่อ พลังและความลี้ลับเป็นอย่างมากเลยทีเดียว ท่ามกลางหน้ากากเหล่านั้น มี “หน้ากากนักรบแห่งเมารี” (Maori Warrior Masks) เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ต้องสาป ที่ได้รับการยอมรับว่าเต็มไปด้วยความอาถรรพ์และเรื่องราวที่น่าสนใจเป็นอย่างมากเลยทีเดียว
ชาวเมารี นักรบเถื่อนผู้ดุร้ายแห่งประเทศนิวซีแลนด์
“ชาวเมารี” เป็นชนพื้นเมืองโพลีนีเซีย ที่ค่อนข้างอาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยวในช่วงศตวรรษที่ 18 ของประเทศนิวซีแลนด์ พวกเขาเป็นชนเผ่าที่เน้นการล่าสัตว์ มีชื่อเสียงในฐานะของนักรบที่ “ดุร้าย” และยังมีความรู้ในด้านงานศิลปะอันยอดเยี่ยม ยามเมื่อพวกเขาออกรบ นักรบจะทำการแกะสลักหน้ากากและรูปปั้น เพื่อเป็นตัวแทนของบรรพบุรุษหรือทวยเทพ แต่หน้ากากเหล่านี้ไม่ได้ถูกนำมาสวมใส่เหมือนกับในวัฒนธรรมอื่น แต่มันเหมือนกับเป็นรูปสลักเพื่อใช้ประดับบ้านหรือเสาเพื่อเป็นการแสดงความเคารพ
ความเชื่อที่นำไปสู่การแกะสลักหน้ากากนักรบแห่งเมารี
หน้ากากนักรบแห่งเมารี ถูกแกะสลักจากไม้เนื้ออ่อน โดยใช้ไม้ในการแกะสลักเพียงชิ้นเดียว ตามธรรมเนียมชาวเมารีจะสลักใบหน้าบนหน้ากากให้ดูดุร้าย และใช้วัสดุเช่น ลูกปัด หรือสิ่งที่คล้ายกันใส่เข้าไปในเบ้าตาของหน้ากาก เชื่อกันว่าหน้ากากที่แสดงความดุร้ายนี้ จะช่วยเสริมพลังความแข็งแกร่ง ก้าวร้าวและมีพลังที่มากขึ้นกว่าเดิมให้กับทุกคนที่อยู่ใกล้ จึงทำให้ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักรบ
หน้ากากนักรบแห่งเมารี สถานที่สิงสถิตของดวงวิญญาณที่ไม่อาจไปสู่สุคติ
ตามความเชื่อของชาวเมารี ถ้าหากนักรบคนใดเกิดเสียชีวิตในระหว่างการต่อสู้ หรือเจ้าของหน้ากากเกิดการเสียชีวิตจากความรุนแรง จนดวงวิญญาณไม่สามารถเข้าถึง Hawaiki ได้ วิญญาณที่ล่องลอยอยู่อาจกลับมาสิงสถิตอยู่ในหน้ากากนักรบของตัวเอง ทำให้หน้ากากนักรบแห่งเมารีกลายมาเป็นวัตถุต้องคำสาปที่ใกล้ชิดกับความตายและเลือดเป็นอย่างมาก
สงครามระหว่างนักรบแห่งเมารีกับประเทศอังกฤษ
ในปี 1863 กองทหารราบอาวุธเบาที่ 43 (Monmouthshire) ของประเทศอังกฤษ ได้เดินทางมายังประเทศนิวซีแลนด์ พร้อมกับเผชิญหน้ากับการทักทายอย่างเป็น “ศัตรู” จากชาวเมารี จากความขัดแย้งด้านดินแดนและการที่ชาวเมารีปฎิเสธที่จะยอมรับอำนาจอธิปไตยของอังกฤษ
ณ ช่วงเวลาที่เป็นจุดสูงสุดของสงคราม กองทหารอังกฤษกว่า 18,000 นาย ที่มีทั้งกองทหารม้า ปืนใหญ่และกองทหารอาสาสมัครในท้องถิ่นต่อสู้กับนักรบแห่งเมารีประมาณ 4,000 คน แม้ว่าจะมีจำนวนที่น้อยกว่าหลายเท่า แต่นักรบแห่งเมารีก็ยืนหยัดต่อสู้กับทหารอังกฤษ โดยการเข้ายึดครองหมู่บ้านที่มีป้อมปราการและหลุมหลบภัยใต้ดินเพื่อใช้หลบกระสุนปืนใหญ่ นักรบแห่งเมารีสามารถสร้างความเสียหายให้กับกองทหารอังกฤษได้เป็นจำนวนมากและการต่อสู้ยืดเยื้อนานถึง 3 ปี ทั้งสองฝ่ายสูญเสียเลือดเนื้อไปเป็นจำนวนมาก
หน้ากากนักรบแห่งเมารี อุปกรณ์ต้องสาปที่ส่งผลร้ายเฉพาะกับผู้หญิง!?
เป็นที่น่าแปลกใจว่าคำสาปของหน้ากากนักรบแห่งเมารี ไม่เป็นภัยคุกคามผู้ชายสักเท่าใดนัก แต่กลับส่งผลกระทบกับผู้หญิงที่อยู่ในวัยมีประจำเดือนหรือกำลังตั้งครรภ์ หากเข้าใกล้หน้ากากเหล่านี้ พวกเธอจะถูกสาปแช่งทำให้เกิดโชคร้ายหรืออันตราย เช่น มีโอกาสแทงบุตรและบางรายอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ เป็นต้น
ในปัจจุบันหน้ากากต้องคำสาปเหล่านี้เหลืออยู่เพียงจำนวนเล็กน้อย และส่วนใหญ่ถูกนำมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ของประเทศนิวซีแลนด์ และหน้ากากนักรบแห่งเมารีบางอันได้ถูกนำไปจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ของประเทศอังกฤษ โดยมีป้ายเตือนไม่ให้ผู้หญิงรักษาระยะห่างในการเยี่ยมชม ห้ามเข้าไปใกล้เพราะเกรงว่าคำสาปแช่งจะสัมฤทธิผลขึ้น เพื่อความปลอดภัยของตัวเองและทารกในครรภ์
อย่างไรก็ตาม เชื่อกันว่าที่จริงแล้วหน้ากากนักรบแห่งเมารีก็ส่งผลกระทบต่อเพศชายเช่นกัน เช่น ทำให้ภาวะหัวใจเกิดความบกพร่อง มีบุตรยากและนอนไม่ค่อยหลับ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงเหล่านี้ถือว่าเล็กน้อยมาก และเป็นเรื่องธรรมดาจากความเชื่อในการเสริมพลังของหน้ากากนักรบแห่งเมารี ให้นักรบมีความพลุ่งพล่านกระหายเลือดก่อนออกไปทำการรบ ดังนั้น การสัมผัสหน้ากากนักรบแห่งเมารี จึงกลายเป็นเรื่องอันตราย แม้แต่กับเจ้าหน้าที่ผู้ชายในพิพิธภัณฑ์เองก็จะทำเฉพาะเมื่อจำเป็นจริงๆเท่านั้น
บทสรุปส่งท้าย : หน้ากากต้องคำสาปของนักรบแห่งเมารี ที่ควรถูกเก็บรักษาแบบ “ปิดตาย” ตลอดกาล
หลังจากที่ได้ทำการศึกษาเรื่องราวของหน้ากากนักรบแห่งเมารี เชื่อว่ามันเป็นหนึ่งในวัตถุต้องคำสาปที่ควรทำการเก็บรักษาเอาไว้หลังตู้กระจกที่ถูกล็อกปิดตายจะเป็นการดีที่สุด เพราะมันเป็นหน้ากากที่ส่งผลกระทบอย่างมากกับคนที่เข้ามาใกล้ และแน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากที่จะให้มีคำสาปที่ส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิต หรือในกรณีที่เลวร้ายอาจเป็นการพรากชีวิตด้วยอำนาจอันลี้ลับ ที่รับรองว่าคงไม่มีใครอยากที่จะให้เกิดขึ้นกับตัวเองอย่างแน่นอน...