กูล (Ghoul) ผีชั่วร้ายเสาะหาเนื้อสด ในตำนานของชาวอาหรับ
“กูล” (Ghoul) หรือ “ปอบ” เป็นสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติที่ปรากฏตัวในตำนานอาหรับ ในเรื่องราวต้นตำหรับพวกมันมีรูปร่างเหมือนกับสุนัขหรือมนุษย์ เท้าเป็นกีบ มีขนค่อนข้างดก มักอาศัยอยู่ในบริเวณที่รกร้องถูกทอดทิ้ง เช่น สุสาน ซากปรักหักพัง เป็นต้น ที่จริงแล้วพวกมันไม่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ในสถานที่เหล่านี้ก็ได้ขอเพียงแค่มีศพให้กินเท่านั้น แต่ที่มันเลือกสถานที่ห่างไกลจากสายตาผู้คนเป็นเพราะชอบความสันโดษเท่านั้น พวกมันชื่นชอบการกินเนื้อ ดื่มเลือดของซากศพเมื่อไม่มีอาหารสดใหม่และยังมีนิสัยชอบขโมยเหรียญเงิน
ในขณะที่กูลในตำนานของชาวยุโรป ถึงแม้จะมีลักษณะคล้ายกับกูลของอาหรับ แต่ผิวหนังของพวกมันจะดูคล้ายกับยาง ผิวซีด หวาดกลัวแสงแดด แต่แสงก็ไม่ได้มีอิทธิพลกับมันมากเหมือนกับผีดิบดูเลือด เพียงแค่ทำให้รู้สึกเจ็บปวดเท่านั้น พร้อมกับความสามารถในการแปลงร่างเป็นเหยื่อรายสุดท้ายที่พวกมันกินได้ ไม่ว่าเจ้าของร่างจะตายไปแล้วหรือมีชีวิตอยู่ก็ตาม!? ถ้าหากกินสมองของใครก็จะสามารถเขาถึงความทรงจำเหล่านั้นได้ ความสามารถพิเศษเหล่านี้ทำให้กูลสามารถกลืนเข้ากับสังคมมนุษย์ในยุคปัจจุบันได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการปลอมตัวเป็นเหยื่ออย่างไม่ผิดสังเกต และชอบอาศัยทำกิจกรรมต่าง ๆ อยู่ใต้ดินเป็นหลัก
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เหล่ากูลชอบที่สุดคือเนื้อของเด็ก ๆ ส่วนหนึ่งอาจเพราะเป็นเหยื่อที่ง่ายดายต่อการสังหาร พวกมันมีเท้าเป็นรูปเส้นโค้ง สามารถคลานหรือวิ่งด้วยแขนทั้งสี่ข้างได้อย่างรวดเร็วเหมือนกับสัตว์ป่า ถ้าสบโอกาสเมื่อไหร่ก็จะจู่โจมใส่มนุษย์เพื่อกินเป็นอาหาร โดยเฉพาะกับคนที่เดินทางเพียงลำพัง
นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่ากูลมีความสามารถในการแปลงร่าง บางครั้งเป็นหญิงงามที่ล่อลวงผู้ชายมากตัณหาไปยังสถานที่เปลี่ยว บางครั้งมันก็แปลงร่างเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในทะเลทราย เช่น หมาไฮยีน่า เป็นต้น แล้วใช้รูปลักษณ์นี้ในการสะกดรอยตามเหยื่อจนกว่าจะสบโอกาสจับกินเป็นอาหาร
บางครั้ง กูลก็ใช้วิธีการแยบยลในการล่อหลอกเหยื่อ เช่น การจุดกองไฟใกล้กับเส้นทางสัญจรไปมาในตอนกลางคืนเพื่อดึงดูดความสนใจของนักเดินทางที่กำลังคลำเส้นทางในความมืดเพียงลำพัง เมื่อเหยื่อหลงเชื่อมาขอร่วมวงผิงไฟคลายหนาวด้วย พวกมันก็จะเผยตัวตนแล้วกัดกินเหยื่อเป็นอาหารค่ำ
สิ่งที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ กูลในยุคแรกยังเชื่อว่าเป็นพาหนะนำพาโรคผิวหนังมาสู่มนุษย์ เช่น โรคเรื้อน เป็นต้น ความเชื่อดังกล่าวอาจจะมาจากการที่พวกมันชอบอาศัยอยู่ในสถานที่ที่สกปรก เต็มไปด้วยเชื้อโรคสกปรกมากมายนั่นเอง
ต้นกำเนิดของกูล
เชื่อกันว่าต้นกำเนิดของกูลมาจากความเชื่อและตำนานของชาวเมโสโปเตเมีย มีลักณะคล้ายคลึงกับปีศาจ “กัลลู” (Galli) ที่อาศัยอยู่ในยมโลก พวกมันจะพาเหยื่อกลับไปยังกินแดนแห่งความตายเพื่อกันเป็นอาหาร หลังจากนั้นเรื่องราวของกูลน่าจะส่งต่อมาจากชนเผ่าเร่ร่อนของอาระเบียที่มีปฏิสัมพันธ์กับชาวเมโสโปเตเมียผ่านการค้า เพราะกูลในตำนานของชาวอาหรับมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับปีศาจกัลลูเป็นอย่างมาก
เรื่องราวที่เก่าแก่ที่สุดของกูลถูกบันทึกอยู่ในศาสนาอิสลาม มีกล่าวถึงในคัมภีร์อันกุรอานและยังคงสร้างความหวาดกลัวให้กับวัฒนธรรมอาหรับมาจนถึงปัจจุบัน และพวกมันอาจจะเกิดขึ้นจากความเชื่อที่แพร่หลายของ “จินห์” (สิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติที่เชื่อกันว่าอาศัยอยู่ในโลกคู่ขนาน) รวมไปถึงความเชื่อที่ว่าพวกมันอาจถือกำเนิดจาก “อิบลิส” (Iblis) หรือปีศาจที่เทียบเท่ากับซาตานในศาสนาอิสลาม
เรื่องราวเล่าว่าปีศาจอิบลิสเริ่มอิจฉามนุษย์ที่ได้รับความโปรดปรานจากพระอัลลอฮ์มากกว่าเหล่าปีศาจ เลยปฏิเสธที่จะก้มหัวให้ ทำให้ถูกห้ามไม่ให้เข้าไปในสวรรค์ แต่อัลลอฮ์ทรงไว้ชีวิตมันเอาไว้จนกว่าจะถึงวันพิพากษา น่าเสียดายที่มันกลับใช้ช่วงเวลานี้ในการล้างแค้นมนุษย์ และกูลคือหนึ่งในเผ่าพันธุ์แห่งความมืดมิดที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของกูลเริ่มเป็นที่รู้จักกันไปทั่วจากเรื่องเล่า “Arabian Nights” หรือที่รู้จักกันในชื่อของ “พันหนึ่งราตรี” แต่เนื่องจากผู้แปลเรื่องเล่านี้เป็นภาษาอังกฤษเป็นมือของชาวยุโรป ทำให้กูลถูกเปลี่ยนแปลงไปตามลักษณะของการตีความสมัยใหม่ที่เข้ากับยุคสมัย
การสืบเผ่าพันธุ์ของกูล
ความเชื่อในการสืบเผ่าพันธุ์ของกูลที่ง่ายดายที่สุดคือ การผสมพันธุ์ระหว่างกูลตัวผู้กับตัวเมีย นอกจากนี้ยังมีการแต่งงานกับมนุษย์อย่างโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้ลูกหลานที่ออกมาเป็นลูกผสม หรือพวกมันอาจขโมยลูกของมนุษย์แล้วเอาลูกของตัวเองไปสับเปลี่ยนแทน การทำเช่นนี้เป็นการช่วยเพิ่มความหลากหลายทางพันธุ์กรรม อย่างไรก็ตามด้วยลักษณะเหนือธรรมชาติหลายอย่างจะทำให้มันดูไม่เหมือนมนุษย์ยามเมื่อเติบใหญ่ขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อที่น่าสนใจว่าถ้าหากกูลทำการผสมพันธุ์กันเองแล้วคลอดออกมา พวกมันมีแนวโน้มที่จะกินลูกของตัวเองทันทีหลังคลอดซึ่งอาจเป็นความหลากหลายทางพันธุกรรมที่คัดสรรกูลที่อ่อนแอออกไป ทฤษฎีสุดท้ายที่น่าสนใจคือ กูลที่เกิดการกลายร่างของมนุษย์ธรรมดาที่ใช้ชีวิตอย่าชั่วร้าย เมื่อเสียชีวิตก็ฟื้นกลับคืนมาในฐานะของกูล หรือคนที่เนื้อคนอื่นจิตวิญญาณก็จะตกลงสู่ความชั่วร้ายกระทั่งกลายเป็นกูลเช่นกัน
การป้องกันตัวเองจากกูล
กูลในยุคแรกตามความเชื่อของชาวอาหรับมักอาศัยอยู่ในสถานที่รกร้าง ผู้ที่เดินทางใกล้กับสุสาน ดินแดนร้าง ทะเลทราย หรืออาคารร้าง ถ้าไม่อยากเผชิญหน้ากับพวกมันควรพยายามหลีกเลี่ยงการเข้าไปใกล้จะเป็นการฉลาดกว่า
นอกจากนี้ ยังสามารถสังเกตได้ว่าบุคคลใดเป็นกูลปลอมตัวด้วยการสังเกตที่เท้า หากมันเป็นกีบแสดงว่าเป็นกูล และพวกมันมักจะชอบคลานสี่เท้ามากกว่าการเดินด้วยสองเท้าถึงแม้ว่ามันจะทำได้ก็ตาม
แสงแดดเป็นวิธีการขับไล่กูลที่ได้ผลดีอย่างมาก แม้จะไม่สามารถสังหารได้ แต่ด้วยแสงแดดที่เข้มข้นก็เพียงพอที่จะทำให้เจ็บปวด รวมไปถึงทำลายดวงตามืดมืดบอดจนไม่สามารถไล่ล่าเหยื่อได้อย่างถนัด
วิธีการจัดการกับกูลที่ดูเหมือนจะได้ผลดีที่สุดคือการ “ตัดหัว” ในบันทึกเกี่ยวกับกูลแบบโบราณเชื่อว่าการใช้ดาบเหล็กก็สามารถจัดการกับพวกมันได้ แต่ต้องใช้ดาบฟันเพียงครั้งเดียวในการสังหารมัน เพราะถ้าหากโจมตีสองครั้งขึ้นไปกูลจะฟื้นคืนชีพมาอีก ดังนั้น การใช้ดาบฟันอย่างแม่นยำเพียงครั้งเดียวเพื่อตัดหัวของมันออกจึงฟังดูเป็นวิธีการที่เข้าท่าอย่างมาก
การกำจัดกูลสมัยใหม่ยังแนะนำให้ใช้ไฟอุณหภูมิสูงในการเผาผลาญร่างกายของมันให้มอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน นอกจากนี้ยังสามารถใช้ไฟซ็อตหรือน้ำกรดในการรับมือได้เช่นกัน แต่ต้องให้มั่นใจว่าจัดการมันได้แบบอยู่หมัด ไม่เช่นนั้นอวัยวะของพวกมันที่ถูกทำลายจะงอกกลับมาใหม่แล้วคืนชีพขึ้นมาสร้างปัญหาให้อีกครั้ง